โรงพยาบาลจุฬารัตน์รุกสร้างเครือข่ายรับเออีซี
เมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา บริษัท บางปะกงเวชชกิจ บริษัทย่อยของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) ได้เข้าซื้อบริษัท โรงพยาบาลชลเวช และเข้าถือหุ้น 96.74% รวม 57.46 ล้านบาท การซื้อกิจการนับเป็นหนึ่งในแนวทางการขยายเครือข่ายของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ นอกเหนือไปจากการขยายเตียงเพิ่มจากโรงพยาบาลเดิมที่มีอยู่
เมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา บริษัท บางปะกงเวชชกิจ บริษัทย่อยของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) ได้เข้าซื้อบริษัท โรงพยาบาลชลเวช และเข้าถือหุ้น 96.74% รวม 57.46 ล้านบาท การซื้อกิจการนับเป็นหนึ่งในแนวทางการขยายเครือข่ายของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ นอกเหนือไปจากการขยายเตียงเพิ่มจากโรงพยาบาลเดิมที่มีอยู่
“นพ.กำพล พลัสสินทร์” กรรมการผู้จัดการ CHG กล่าวว่า เหตุผลที่ทำให้ CHG เร่งสร้างเครือข่ายเพื่อเตรียมตัวรับกับขนาดตลาดที่จะใหญ่ขึ้นอีกมหาศาล เพราะประเทศไทยจะเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญภายหลังการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ทำให้ขนาดตลาดของภาคบริการในส่วนของการให้บริการทางการแพทย์เพิ่มจาก 60 ล้านคน กลายเป็น 600 ล้านคน มีคนเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น แต่จะมีทั้งคนพม่า กัมพูชา และลาวเข้ามามากขึ้น ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นมหาศาลนี้ ขอมีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 1%
นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ CHG ผลักดันตัวเองมาเป็นบริษัทมหาชน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมเงินก้อนใหญ่ ใช้เป็นทุนในการขยายกิจการ นับเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต โดยประเมินแล้วว่า การขยายกิจการหรือลงทุนในช่วงเวลานั้นอาจจะไม่ทันการณ์ และข้อสำคัญทุกอย่างจะขาดแคลน แรงงานหายาก ขณะเดียวกันต้นทุนในการก่อสร้างก็น่าจะสูง
ทั้งนี้ ลำพังเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) 1,300 ล้านบาท ทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมด แม้จะใช้เงินในการซื้อโรงพยาบาลชลเวช 57 ล้านบาท และการขยายพื้นที่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ อาคเนย์ ที่ จ.ปราจีนบุรี 2 เฟส เฟสแรก 50 ล้านบาท และเฟส 2 กว่า 300 ล้านบาท ยังมีเงินเพียงพอจะลงทุนขยายเตียงจากโรงพยาบาลที่มีอยู่และการซื้อกิจการเพิ่มได้อีก
ผลของการซื้อโรงพยาบาลชลเวชและลงทุนขยายเตียงในโรงพยาบาลจุฬารัตน์ อาคเนย์ จะทำจำนวนเตียงของ CHG เพิ่มเป็น 800 เตียง และการขยายเครือข่ายของ CHG คงไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจำนวนเตียงน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 เตียง
“นพ.กำพล” กล่าวว่า ยังมองหาโอกาสในการซื้อกิจการอยู่เรื่อยๆ และต้องอยู่ในโซนพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อให้คงความเป็นเครือข่ายของกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ ทุกวันนี้ยอมรับว่ามีคนมาเสนอขายให้ก็มาก แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะจุดประสงค์สำคัญในการเลือกซื้อกิจการ คือ ขอให้มีเป้าหมายในการทำธุรกิจและแนวคิดไม่ต่างกันมาก ข้อสำคัญรวมกันแล้วผลลัพธ์ที่ได้ต้อง Win Win ทั้งสองฝ่าย ถ้ารวมกันแล้วอีกฝ่ายหายไปเลย ก็คงไม่ทำ เพราะยังต้องการให้เจ้าของเดิมร่วมกันบริหารโรงพยาบาลต่อไป นับเป็นการเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลอื่นๆ ที่คิดว่าเมื่อร่วมกับ CHG แล้วสามารถก้าวไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าเดิม
“ผมคงไม่ไปซื้อกิจการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เราจะทำอะไรที่เราถนัด เพราะเราเน้นให้บริการผู้ป่วยที่มีรายได้ระดับกลางๆ B+ แต่มีบางอย่างเราอาจไปแตะกลุ่ม A บ้าง เพราะเรามีความสามารถพิเศษในการรักษาโรคยากๆ เฉพาะทาง เช่น หัวใจ และเรามีศูนย์รักษามะเร็ง ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด” นพ.กำพล กล่าว
นอกจากนี้ CHG ไม่มีแนวคิดจะไปลงทุนสร้างโรงพยาบาลในประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มเออีซี เพราะมองว่าไม่จำเป็น เนื่องจากยังมีหลายอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นระบบบัญชี กฎหมายการลงทุนยังไม่นิ่ง โครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคยังไม่พร้อม ข้อสำคัญที่ดินในบางประเทศสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดินในประเทศพม่าและกัมพูชา ดังนั้น คนเหล่านี้ควรเข้ามาใช้บริการในประเทศไทย
สำหรับทิศทางการเติบโตในปี 2557 นี้ รายได้จะเติบโตจากปี 2556 ประมาณ 10% เท่านั้น ถือว่าโตลดลงจากปี 2556 ที่คาดว่ารายได้จะมีการเติบโต 20% เนื่องจากผลของการลงทุนนั้นยังไม่ออกดอกออกผล แต่เชื่อว่าในปี 2558 จะมีการเติบโตสูง เพราะจะเริ่มเห็นผลจากการเข้าไปลงทุนในโรงพยาบาลชลเวช
อย่างไรก็ตาม CHG ถือว่ามีจุดแข็งสำคัญ คือ ในแต่ละปีจะมีรายได้ประจำจากประกันสังคม คิดเป็นสัดส่วน 50% ของรายได้รวม ปัจจุบันมีผู้ประกันตนจากประกันสังคมเข้ามาลงทะเบียนชื่อรักษาไว้กับกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ประมาณ 3.2 แสนคน และทางโรงพยาบาลมีรายได้ต่อหัวจากส่วนนี้ 2,500 บาท หรือรวมแล้ว 800 ล้านบาทต่อปี แต่ละปีมีจำนวนคนมาลงทะเบียนเพิ่ม 2 หมื่นคน และด้วยศักยภาพของกลุ่ม CHG สามารถรับได้ถึง 4.2 แสนคน
“เราเป็นโรงพยาบาลที่มีผลประกอบการดีมาอย่างต่อเนื่อง และดูงบบัญชีเรามีกระแสเงินสดในระดับสูง สร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนว่า เมื่อซื้อหุ้น CHG แล้วไม่น่าจะมีความเสี่ยงสูง” นพ.กำพล กล่าว
CHG เป็นหุ้นน้องใหม่ในกลุ่มโรงพยาบาลที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนต่างประเทศ โดยในเดือน พ.ค.นี้ มีแผนจะเดินทางไปพบและให้ข้อมูลกับนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่นตามคำเชิญของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต


