บทบาทหน้าที่กรรมการ กรณีการควบรวมกิจการ (2)
ฉบับที่แล้วผมนำเสนอลักษณะของการครอบงำกิจการและบทบาทกรรมการเมื่อมีการครอบงำกิจการ (Takeover) โดยได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะการครอบงำกิจการโดยการเข้าซื้อหุ้นแบ่งได้กว้างๆ ตามวิธีการในการเข้าหาและติดต่อกับผู้ถือหุ้นเดิมได้ 2 วิธี คือ การครอบงำกิจการแบบเป็นมิตร (Friendly Takeover)
ฉบับที่แล้วผมนำเสนอลักษณะของการครอบงำกิจการและบทบาทกรรมการเมื่อมีการครอบงำกิจการ (Takeover) โดยได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะการครอบงำกิจการโดยการเข้าซื้อหุ้นแบ่งได้กว้างๆ ตามวิธีการในการเข้าหาและติดต่อกับผู้ถือหุ้นเดิมได้ 2 วิธี คือ การครอบงำกิจการแบบเป็นมิตร (Friendly Takeover)
การครอบงำกิจการแบบเป็นมิตรนี้ กรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ถูกครอบงำกิจการมักให้ความร่วมมือ เนื่องจากกรรมการและผู้บริหารอาจเป็นผู้ถือหุ้นเดิมที่จะขายหุ้นให้แก่ผู้ซื้อรายใหม่ หรือกรรมการและผู้บริหารยังคงมีสิทธิที่จะทำงานหรือบริหารงานต่อ (ภายใต้สัญญาเดิมหรือที่ทำขึ้นเพิ่มเติม) หรืออาจเป็นกรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมได้ขอให้กรรมการและผู้บริหารให้ความร่วมมือในการซื้อขายหุ้น การให้ความร่วมมือของกรรมการควรมีขอบเขตที่จำกัดและระมัดระวังผลประโยชน์ของบริษัท เช่น การเปิดเผยข้อมูลในระหว่างการเจรจา ควรพิจารณาว่าผู้ที่จะเจรจาซื้อหุ้นจะใช้ข้อมูลนั้นอย่างไร
เช่น ในกรณีของผู้จะซื้อหุ้นที่ประกอบธุรกิจที่อาจอยู่ในลักษณะแข่งขันกับธุรกิจของบริษัท และจะสามารถเก็บรักษาข้อมูลได้มากน้อยอย่างไร ซึ่งในทางปฏิบัติการให้ข้อมูลจะอยู่ในลักษณะของการตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล (Private and Confidential Basis) และผู้ถือหุ้นเดิมและบริษัทควรได้รับสัญญารับผิดชดใช้ (Indemnity) และอาจรวมถึงข้อตกลงไม่แข่งขันทางการค้า (NonCompetition) จากผู้ซื้อหุ้นที่จะได้รับข้อมูลด้วย
การครอบงำกิจการอีกประเภทหนึ่ง คือการครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร (Hostile Takeover) ซึ่งลักษณะของการครอบงำกิจการและการตอบสนองของผู้บริหารในกรณีดังกล่าวมีดังนี้
การครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร (Hostile Takeover)
การครอบงำกิจการโดยผ่านการถือหุ้นไม่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่และคณะกรรมการของบริษัทเสมอไป การครอบงำกิจการในลักษณะดังกล่าวเป็นการดำเนินการโดยฝ่ายผู้ที่ประสงค์จะครอบงำกิจการเพียงฝ่ายเดียวและไม่เป็นมิตร ซึ่งโดยทั่วไปผู้ที่ประสงค์จะครอบงำกิจการในรูปแบบนี้อาจเป็นคู่แข่งในทางธุรกิจของบริษัทที่ครอบงำกิจการ และมีเจตนาที่จะครอบงำกิจการเพื่อกำจัดคู่แข่งหรือลดการแข่งขัน หรือแม้กระทั่งนำบริษัทที่ถูกครอบงำไปควบรวมกิจการกับกิจการเดิมของตน เพื่อสร้างมูลค่าและประโยชน์ของกิจการให้เพิ่มขึ้น (Synergy Gain) หรือในบางกรณีอาจเป็นกองทุนหรือบริษัทที่เห็นว่าบริษัทที่เป็นเป้าหมายมีมูลค่าหุ้นต่ำกว่าความเป็นจริง จึงประสงค์ที่จะครอบงำกิจการและขายบริษัท (หรือการแยกธุรกิจเป็นส่วนๆ เพื่อขาย หรือ bustup takeover เพื่อผลกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain)
การเข้าซื้อหุ้นในลักษณะนี้อาจดำเนินการได้สองลักษณะคือ (ก) การทยอยซื้อหุ้นเพื่อให้ได้หุ้นจำนวนหนึ่ง (โดยไม่ให้เป็นที่สังเกตได้ เช่น อาจซื้อหรือถือหุ้นในลักษณะการถือหุ้นแทน (Nominee) หรือไม่เปิดเผยรายชื่อ (ผ่านกองทุน)) และทำคำเสนอซื้อแก่ผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่ หรือ (ข) การเสนอซื้อหุ้นแก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทโดยไม่มีการทยอยซื้อหุ้น การเสนอซื้อหุ้นทั้งสองกรณีเป็นคำเสนอซื้อที่มิได้รับการเชิญชวนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท (Unsolicited Bid) และมีโอกาสเกิดกับบริษัทที่มีโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการกระจาย (Dispersed Shareholding) รวมทั้ง มักไม่ได้รับความร่วมมือและการตอบรับจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ปัจจุบันของบริษัท
นอกจากการครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตรอาจไม่ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้ว กรรมการและผู้บริหารบริษัทมักไม่ให้ความร่วมมือหรือต่อต้านการครอบงำกิจการดังกล่าวด้วย ซึ่งปัจจัยหลักที่คณะกรรมการมักจะนำมาพิจารณาและกำหนดลักษณะการตอบสนองของคณะกรรมการ ได้แก่ ประโยชน์และผลตอบแทน (ราคา) ที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทจะได้รับ และประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นหากการครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตรประสบผลสำเร็จ นอกจากนี้ การครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตรมักจะก่อให้เกิดการทำคำเสนอซื้อเพื่อแข่งขัน (Competitive Bid) ได้ โดยอาจมาจากผู้ที่ประสงค์จะได้กิจการที่กำลังถูกทำคำเสนอซื้อ หรือพันธมิตรของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม
ไว้ฉบับหนี้เรามาดูหน้าที่ของคณะกรรมการในการดำเนินการ เมื่อมีการครอบงำกิจการกันนะครับ


