สังคมก้มหน้า
ปัจจุบันอะไรต่อมิอะไรก็ต้องไปอยู่บนสังคมออนไลน์กันหมด แรกๆ ก็เฉพาะเรื่องส่วนตัว หลังๆ เรื่องงานก็มาประยุกต์ใช้พวกเครื่องมือสังคมออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น ตัวผมเองก็โดนครับ มีไม่รู้กี่กลุ่มต่อกี่กลุ่ม เรื่องงานก็หลายกลุ่ม เพื่อนสมัยเด็ก เพื่อนสมัยโต เพื่อนที่ทำงานเก่า กลุ่มผู้ปกครองที่โรงเรียนลูก และอื่นๆ อีกมากมาย จริงๆ แล้วเทคโนโลยีนั้นอาจเป็นทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี
ปัจจุบันอะไรต่อมิอะไรก็ต้องไปอยู่บนสังคมออนไลน์กันหมด แรกๆ ก็เฉพาะเรื่องส่วนตัว หลังๆ เรื่องงานก็มาประยุกต์ใช้พวกเครื่องมือสังคมออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น ตัวผมเองก็โดนครับ มีไม่รู้กี่กลุ่มต่อกี่กลุ่ม เรื่องงานก็หลายกลุ่ม เพื่อนสมัยเด็ก เพื่อนสมัยโต เพื่อนที่ทำงานเก่า กลุ่มผู้ปกครองที่โรงเรียนลูก และอื่นๆ อีกมากมาย จริงๆ แล้วเทคโนโลยีนั้นอาจเป็นทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี
เมื่อเรากำลังเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคที่ข้อมูลมหาศาลพุ่งเข้ามาหาเราจากทุกทิศทุกทาง ดูเหมือนคนจำนวนมากมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับรู้ข้อมูลให้หมด ผมก็มีคำถามว่าจริงๆ แล้วจำเป็นจริงๆ ไหม หรือบางคนอาจจะเสพติดที่จะต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นอย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลา ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว คำถามว่าจริงไหม ถ้าจริงก็ต้องถามต่อว่าแล้วเมื่อ 5 ปีที่แล้วเรามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
คงเป็นภาพที่เราเห็นกันจนชินตาในปัจจุบัน เวลาที่เราขึ้นรถประจำทาง ขึ้นรถไฟฟ้า เราก็จะเห็นทุกคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก้มหน้าก้มตากดกัน หรือเวลาไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ เราก็จะเห็นภาพเพื่อนๆ ที่นัดกันออกมาเจอกันที่ร้านอาหาร แล้วทุกคนก็นั่งร่วมโต๊ะกัน แต่ต่างคนก็ต่างก้มหน้าดูโทรศัพท์ของตัวเอง ผมถึงเรียกว่า “สังคมก้มหน้า” ถ้าใครเสพติดมากๆ อาจกระทบกับทักษะการใช้ชีวิตประจำวันได้เลยนะครับ เพราะคุณจะละเลยสิ่งที่จับต้องได้ สัมผัสได้ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ตลอดจนผู้คนที่อยู่ข้างกายคุณ ชีวิตของคุณอาจจะกลับด้านไปเลย กลายเป็นว่า “อยู่ใกล้กับคนไกล แต่ห่างไกลกับคนใกล้”
ความกระหายที่จะติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลา ความกระหายที่จะเข้าถึงข้อมูลทุกเรื่องให้ได้ทุกที่ทุกเวลานั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้สภาพจิตใจเรายุ่งเหยิงวุ่นวาย เราไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดพัก หรือหยุดคิด หรือหยุดชื่นชมสภาพแวลล้อมที่อยู่ใกล้ตัวเลย
ข้อดีของเทคโนโลยี คือ เพิ่มความเร็ว ประสิทธิภาพ และความแม่นยำในการสื่อสารข้อความหรือถ่ายโอนข้อมูล ทำให้เราทำงานเสร็จได้เร็วขึ้น ติดต่อสื่อสารกับคนสำคัญได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพกว่าที่ผ่านมา อันนี้ไม่เถียงครับ แต่เราก็สามารถเสพติดเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็วเหมือนกัน ง่ายๆ เดี๋ยวนี้ตื่นเช้ามาเราทำอะไรกันครับ เกือบทุกคนหยิบโทรศัพท์มาเช็กดูว่ามีใครโทรมาไหม มีข้อความฝากไว้ไหม มีอีเมลเข้ามาไหม บางคนหนักหน่อยก็ต้องเช็กว่าที่เราโพสต์ไปเมื่อคืนนั้นมีใครมากดไลค์ไหม มีคนมาคอมเมนต์กี่คน ยิ่งบางคนตั้งค่าให้แจ้งเตือนขึ้นมาทุกๆ เรื่อง ยิ่งรบกวนสมาธิตัวเราเองตลอดเวลา จริงหรือที่ชีวิตเราในทุกๆ ห้านาที เราจะต้องมั่นใจให้ได้ว่าเราไม่ได้พลาดอะไร เราควรหยุดเสพติดให้ได้ ก่อนที่จะลุกลามเกินกว่าควบคุม
เราสามารถเอาเวลาของเรากลับมาได้ โดยเริ่มจากอีเมลของพวกเราก่อนเลย คนสมัยนี้ดูเหมือนว่าถูกผูกติดกับคอมพิวเตอร์มากๆ ต้องคอยรับคอยตอบอีเมลวันละหลายชั่วโมง คนเรามีเวลาจำกัด ดังนั้นยิ่งถ้าคุณใช้เวลากับเรื่องอีเมลเหล่านั้นมากเท่าไร คุณก็จะเหลือเวลาไปทำเรื่องสำคัญอื่นๆ น้อยลงเท่านั้น เคยไหมครับพักร้อนไป หรือหยุดงานไปวันสองวัน กลับมาอีเมลหลายร้อยรออยู่ เรียกว่าถ้าอ่านทั้งหมดก็ดูเสมือนว่าเราจะไม่ได้มาทำงานอีกวัน ลองใช้กฎ 80/20 ก็ได้ เชื่อเถอะ อีเมล 80% ที่เราได้รับไร้ประโยชน์ไม่ควรแม้กระทั่งเปิดอ่านด้วยซ้ำ ส่วนที่เหลืออีก 20% มีเพียง 5% ที่ต้องตอบทันที ส่วนอีก 15% สามารถอ่านตอนว่างได้
ตัวผมเองก็มีเทคนิคในการจัดการอีเมลเปล่าประโยชน์ คือ ผมสอนให้เลขาฯ เห็นว่าอีเมลประเภทไหนที่ผมเห็นแล้ว ผมไม่เคยเปิดอ่านก่อนลบแน่ๆ ให้ช่วยลบออกทุกเช้าเลย เห็นผลมาก จำนวนอีเมลที่ต้องอ่านทุกเช้าหายไปกว่าครึ่ง เทคโนโลยีควรจะเป็นคนรับใช้เรา ไม่น่าจะมาเป็นนายเรา เทคโนโลยีคือสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตเราราบรื่นและง่ายดายขึ้น ไม่ใช้สร้างความยุ่งยากและความเครียด ทุกคนมีเวลาจำกัดในหนึ่งวัน ถ้าเราอยากทำงานที่มีความสำคัญมากให้เสร็จมากขึ้น ก็ต้องหยุดงานที่มีความสำคัญน้อยให้ได้ เช่น การเช็กอีเมล การเช็กสถานะ เพราะทุกครั้งที่มีการเตือนแต่ละครั้งของเครื่องมือสังคมออนไลน์ขึ้นมา มันจะกวนสมาธิและเวลาเราทุกครั้ง และมันไม่ได้มาพร้อมๆ กันนะ มันมาแบบกะปริบกะปรอยมา ทำให้เราเสียโอกาสที่จะมีเวลายาวๆ สมาธิยาวๆ ในการทำงานสำคัญ ต้องถามตัวเองเสมอว่า อะไรคือสิ่งสำคัญในตอนนี้ อะไรคือสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จในที่ทำงาน อะไรคือสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จในชีวิตส่วนตัว
ขอยืนยันนะครับว่า “การติดต่อสื่อสารตลอดเวลาไม่ใช่สิ่งจำเป็น” ไม่เชื่อลองดูครับ คุณพักร้อนไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวหนึ่งอาทิตย์ ลองไม่พกอุปกรณ์สื่อสารใดๆ ติดตัวไปเลย มันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก โลกก็ยังคงหมุนรอบตัวเองต่อไป โดยไม่ได้สนใจว่าคุณจะติดต่อสื่อสารกับโลกรอบตัวอย่างต่อเนื่องได้หรือไม่ ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นก็ต้องได้รับการแก้ไข คำตอบต้องถูกค้นพบ งานต้องถูกทำให้เสร็จ ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไป มีไม่กี่อย่างหรอกที่สำคัญมากจนต้องรอคุณเพียงคนเดียว
ในแต่ละวัน ลองสร้างพื้นที่เงียบๆ ขึ้นมา ปิดอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ สักหนึ่งชั่วโมง จิตใจคุณจะสงบปลอดโปร่ง จะผ่อนคลาย มีสติ และตื่นตัวมากขึ้น พลังทางความคิดจะถูกชาร์จมากขึ้นจากการตัดการสื่อสารที่เข้ามารบกวนอย่างไม่หยุด หรือตอนนั่งรถกลับบ้าน ลองไม่ก้มหน้ามองโทรศัพท์ ลองเงยหน้าขึ้นมองสิ่งต่างๆ ข้างทางดู คุณอาจจะพบว่าคุณหลงลืมอะไรไปบ้าง เผื่อว่าสังคมเราจะกลับมาเป็น “สังคมเงยหน้า” เหมือนเดิม


