บทบัญญัติเกี่ยวกับความรับผิดทางอาญาของกรรมการรัฐวิสาหกิจ
บทความตอนที่แล้ว ผมได้ยกเรื่องบทบาทหน้าที่กรรมการภาครัฐและผมได้ยกตัวอย่างบทบัญญัติที่มุ่งลงโทษกรรมการรัฐวิสาหกิจที่กระทำโดยมิชอบหรือการทำทุจริตอันมีโทษถึงจำคุกตั้งแต่ 110 ปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท ให้ทั้งจำทั้งปรับและขยายผลไปถึงมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 (พ.ร.บ.ความรับผิดฯ)
บทความตอนที่แล้ว ผมได้ยกเรื่องบทบาทหน้าที่กรรมการภาครัฐและผมได้ยกตัวอย่างบทบัญญัติที่มุ่งลงโทษกรรมการรัฐวิสาหกิจที่กระทำโดยมิชอบหรือการทำทุจริตอันมีโทษถึงจำคุกตั้งแต่ 110 ปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท ให้ทั้งจำทั้งปรับและขยายผลไปถึงมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 (พ.ร.บ.ความรับผิดฯ)
วิธีการศึกษาที่ดีที่สุดก็คือ การศึกษากรณีศึกษาตัวอย่างจากมาตรา 157 และมาตรา 11 (ซึ่งมีไม่มาก) แต่กรรมการผู้สนใจควรหาหนังสืออีกเล่มที่ผมจะแนะนำให้ใช้สำหรับกรรมการรัฐวิสาหกิจคือ ประมวลกฎหมายอาญา 157 : ที่พึ่งของคนไร้เส้น” ซึ่งเขียนโดยอาจารย์วิชัย วิวิตเสวี อาจารย์ประพันธ์ ทรัพย์แสงนิธิ ศรีนาราง และชุมพิชา วิวิตเสวี (สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2545) มาอ่านก็จะได้ประโยชน์มาก
ข้อสังเกตมาตรา 157 และมาตรา 11
เพื่อความสะดวกผมขอแยกองค์ประกอบโดยนำบทสรุปจากหนังสือเล่มข้างต้นและตัวอย่างที่ผมได้ใช้สอนมาเขียน โดยขอแบ่งองค์ประกอบความผิดของมาตรา 157 และมาตรา 11 ที่มี 2 ฐาน คือ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยผมจะกล่าวเฉพาะเรื่องฐานความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเท่านั้น องค์ประกอบความผิดมี 3ข้อดังนี้
1.ต้องเป็นพนักงาน (ซึ่ง พ.ร.บ.ความรับผิดกำหนดคำนิยามไว้กว้างครอบคลุมทุกคนไม่ใช่เฉพาะกรรมการ) ของหน่วยงานของรัฐ ส่วนการตีความมาตรา 157 เรื่องเจ้าพนักงานต้องติดตามอย่างเคร่งครัดและต้องได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ซึ่งลูกจ้างไม่ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 157 แต่อาจถือว่าเป็นพนักงานตามมาตรา 11 ของ พ.ร.บ.
2.ต้องปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ องค์ประกอบข้อนี้คือ ต้องมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น กรรมการก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ โดยต้องเป็นหน้าที่โดยตรงที่ได้รับมอบหมาย อาจโดยกฎหมายหรือมติของคณะกรรมการก็ได้
เมื่อมีหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติให้ชอบดังที่กล่าวมาแล้ว การกระทำโดยมิชอบที่ส่งผลให้กรรมการรัฐวิสาหกิจเกรงกลัวที่สุด เพราะแม้จะเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยมติ ครม. (ซึ่งมีมากขึ้นและยากจะรวบรวมได้ครบ) หรือประกาศภายในของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (ซึ่งกรรมการคงไม่รู้ได้หมดแน่) การกระทำโดยมิชอบจึงเกิดขึ้นได้ง่ายมาก ที่สำคัญคือการปฏบัติหน้าที่โดยมิชอบจะรวมถึงการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอำนาจหน้าที่และการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบด้วย
3.ต้องมีเจตนาพิเศษ คือ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เรื่องเจตนาพิเศษจึงเป็นเรื่องสำคัญที่กรรมการรัฐวิสาหกิจต้องรู้มีความอย่างถ่องแท้ เพราะหากไม่มีเจตนาก็ย่อมไม่มีความผิด โดยเจตนาพิเศษก็สามารถพิสูจน์ได้จากพฤติกรรมต่างๆ ตามหลักกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาและต้องเจตนาให้เกิดผลโดยตรงเท่านั้น เพียงแต่เล็งเห็นผลว่าจะเกิดความเสียหายซึ่งไม่เพียงพอ โดยเจตนาพิเศษครั้งนี้เจตนา (ขอให้ดูคำพิพากษาฎีกา 7663/2543 เรื่องการแต่งตั้งพนักงานอัยการและคำพิพากษาฎีกา 2105/2544 เรื่องการพักราชการ ปลัดกระทรวงพาณิชย์)
ตอนหน้าจะถึงข้อได้เขียนต่อสู้ของกรรมการรัฐวิสาหกิจเมื่อถูกกล่าวโทษว่ากระทำผิดมาตราดังกล่าวว่าควรทำอย่างไร


