ทำไม? คนจน...ยิ่งจน คนรวย...ยิ่งรวย
คุณผู้อ่านเคยสงสัยไหมครับว่า... “ทำไมคนจน...ยิ่งจน? คนรวย...ยิ่งรวย?” ผมจึงอยากพาคุณผู้อ่านไปหาสาเหตุ
คุณผู้อ่านเคยสงสัยไหมครับว่า... “ทำไมคนจน...ยิ่งจน? คนรวย...ยิ่งรวย?” ผมจึงอยากพาคุณผู้อ่านไปหาสาเหตุที่ทำให้ “คนจน...ยิ่งจน” และ “คนรวย...ยิ่งรวย” ดังนี้ครับ
หนึ่ง ปรากฏการณ์แมทธิว (Matthew Effect)
ในเชิงสังคมวิทยามีปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกว่า ปรากฏการณ์แมทธิว (Matthew Effect) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสังคมเกิดความลำเอียงและไปให้ความเชื่อถือแก่คนหรือเหตุการณ์ที่สังคมคิดว่าจะเป็นเช่นนั้น โดยที่สังคมจะไม่ยอมค้นหาข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นเสียก่อน
เช่น รางวัลผลงานการศึกษาหรืองานวิจัยต่างๆ ที่มักจะถูกมอบให้กับศาสตราจารย์ที่อาวุโสและมีชื่อเสียง ทั้งๆ ที่ในบางครั้งแล้ว คนที่ผลิตผลงานเหล่านั้นออกมาจนได้รับรางวัลอาจจะเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงานที่ทำงานให้ศาสตราจารย์คนนั้นๆ ก็เป็นได้ แต่สังคมหรือผู้เกี่ยวข้องก็จะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะมอบรางวัลให้กับนักศึกษาฝึกงานอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับกรณี “ทำไม? คนจน...ยิ่งจน” ในกรณีที่จะต้องใช้ความเชื่อถือ เช่น การหยิบยืมเงิน หรือการกู้เงินจากสถาบันการเงินหรือจากคนที่รู้จัก คนจนก็มักจะถูกกีดกัน หรือหากให้กู้...ก็จะต้องกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก
ด้วยเหตุดังกล่าว ก็จะยิ่งทำให้คนจนมีความยากลำบากในการประกอบธุรกิจ และมีต้นทุนในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้น...กำไรก็จะน้อยลง...หรืออาจขาดทุนไปเลยก็เป็นได้ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนจนมีโอกาสที่จะ...ยิ่งจนลงไปอีก
สอง ระบบทุนนิยม (Capitalism)
นักสังคมวิทยาชื่อดังก้องโลกที่มีชื่อว่า คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ผู้ที่สร้างแนวความคิดเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communism) เป็นคนแรกของโลก ได้เคยกล่าวไว้ว่า ในสังคมจะมีชนชั้นอยู่ด้วยกัน 3 ชนชั้น คือ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางมักจะเป็นชนชั้นที่จะพยายามไขว่คว้าหาทรัพย์สมบัติและอำนาจ เพื่อที่จะถีบตัวเองขึ้นมาเป็นชนชั้นสูงให้ได้
แต่ด้วยระบบทุนนิยมที่เกิดขึ้น...ก็จะทำให้เกิดสภาพการแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงและนำไปสู่การแข่งขันทางการค้าที่ไม่ยุติธรรม ...มีการกีดกันทางการค้า...มีการกีดกันการสนับสนุนแหล่งเงินกู้ และอื่นๆ
ผลสุดท้าย...ที่ออกมามักจะพบว่า กิจการของพ่อค้ารายเล็กมักจะประสบกับปัญหาการล้มละลาย ตามมาด้วยการเข้าครอบครองกิจการโดยพ่อค้ารายใหญ่...ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า ในที่สุดก็จะทำให้สังคมแปรเปลี่ยนไป และชนชั้นกลางก็จะค่อยๆ หายไปจากสังคม เหลือไว้แต่เพียงชนชั้นสูง...และชนชั้นต่ำ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ในสังคมก็จะเหลือเพียงแต่...คนรวย...และคนจนเท่านั้น
สาม ทัศนคติการจัดการเรื่องเงินของคนจน
คนจนมักจะมีแนวความคิดในการจัดการเรื่องเงินที่แตกต่างจากคนรวย เมื่อคนจนได้เงินมาแล้ว พวกเขามักจะคิดถึงแต่วิธีการที่จะจ่ายหนี้สินต่างๆ เช่น วิธีการที่จะจ่ายบัตรเครดิต...ใบแจ้งหนี้...และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย
หลังจากที่พวกเขาได้จ่ายหนี้สินต่างๆ ไปหมดแล้ว พวกเขาก็แทบจะไม่เหลือเงินเอาไว้เก็บออมเลย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาคิดจะทำต่อไปก็คือ จะหาเงินอย่างไรต่อไปล่ะ? เพื่อที่จะมาจ่ายหนี้สินที่กำลังจะมาอีกในเวลาอันใกล้นี้ คนจนจะมีทัศนคติที่ว่า เมื่อคนจนมีรายได้ไม่ว่าจะมาจากเงินเดือนหรือรายได้เสริมแล้ว...ก็มักจะใช้จ่ายไปกับสิ่งของที่จำเป็นและสิ่งของที่ไม่จำเป็นจนเงินหมด ทำให้เงินออมมีค่าเป็นศูนย์หรือบางเดือนติดลบ
จากนั้นก็จะมีค่าใช้จ่ายใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ บีบบังคับให้คนจนต้องรีบขวนขวายหารายได้ใหม่หรือกู้หนี้ยืมสินเพื่อนำมาใช้จ่าย ในที่สุดก็กลายเป็นวัฏจักร ซึ่งอาจเรียกวัฏจักรนี้ว่า “วัฏจักรแห่ง...ความจนดักดาน”
หลังจากที่คนจนไม่มีเงินออมเลยแล้ว ผ่านกาลเวลาไปอย่างยาวนาน คนจน...ก็ยังจนอยู่ ด้วยเวลาที่ยาวนานนี้ก็ทำให้เกิด “นิสัยไม่เก็บออม” เกิดขึ้น หลังจากนั้นก็จะเกิดความเคยชิน เพราะยามที่ไม่มีเงินหรือต้องกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมา...ชีวิตก็ยังอยู่ได้อย่างมีความสุข ความเคยชินดังกล่าวก็จะไปสร้างให้เกิด “นิสัยไม่จำเป็นต้องเก็บออม” โดยไม่สนใจว่าในอนาคตจะมีเงินออมเมื่อถึงเวลาเกษียณอายุหรือไม่?
สี่ ทำไม? คนรวย...ยิ่งรวย
ทัศนคติที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงของคนรวย ก็ได้ทำให้คนรวยสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองได้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้คนรวยมีแนวโน้มที่จะยิ่งรวยขึ้นไปอีก โดยทัศนคติที่สำคัญที่สุดของคนรวยก็คือ ความคิดที่อยากจะเก็บออม
เมื่อคนรวยได้เงินมาแล้ว คนรวยก็จะเก็บ “เงินออม” ขึ้นมาทันที ซึ่งอาจจะเป็น 30% หรือ 50% เป็นต้น จากนั้นเงินที่จะต้องใช้จ่ายก็จะเหลือน้อย จึงทำให้ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เงินออมเมื่อผ่านเวลาที่ยาวนานก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดใหญ่เพียงพอ จากนั้นก็จะนำเงินไปสร้างเครื่องจักรที่จะสร้างให้เกิด “รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน” ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ทางเลือก ก็คือ
1.ธุรกิจแบบ “เครื่องพิมพ์แบงก์”
2.การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดที่สามารถจัดการความเสี่ยงได้
ด้วยเหตุผลข้างต้น จึงทำให้ คนรวย...รวยขึ้น...รวยขึ้น...และรวยขึ้น


