เลียบ“อ่าวบ้านดอน”ส่องเศรษฐกิจชุมชนยั่งยืน
โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
ด้วยความที่ “อ่าวบ้านดอน” จ.สุราษฎร์ธานีตั้งอยู่ในทำเลที่ได้เปรียบก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ทว่าความอุดมสมบูรณ์นี้ก็ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงพื้นที่ระหว่างประมงพื้นบ้านกับผู้ประกอบการ ความขัดแย้งระหว่างผู้ใช้เครื่องมือประมงที่ต่างกันอยู่บ่อยๆ หากปล่อยไว้อาจส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารทั้งในระดับพื้นที่และประเทศได้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จึงลงพื้นที่ร่วมกับภาคสังคมและชาวบ้านในพื้นที่เพื่อหาทางออกร่วมกัน
อนัญญา เจริญพรนิพัทธ นักวิจัยจาก สกว.ที่ทำงานวิจัยร่วมกับชาวบ้าน กล่าวว่า เป้าหมายของการลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจสังคมของชุมชนรอบอ่าวบ้านดอนและ จ.สุราษฎร์ธานี ให้อยู่อย่างยั่งยืน รวมถึงแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งภายในพื้นที่ โดยเน้นการสร้างกลไกการจัดการอย่างมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ เป็นตัวตั้งในการหาทางออกไปพร้อมกัน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาปัญหาคือ ความเสื่อมโทรมของป่าชายเลนและทรัพยากรสัตว์น้ำ เนื่องจากการขยายพื้นที่นากุ้งลงไปในพื้นที่ป่าชายเลนทั้งถูกและไม่ถูกกฎหมาย การปล่อยน้ำเสียจากบ่อกุ้งและการใช้เครื่องมือประมงที่ไม่ถูกต้องและเหมาะสม เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกลุ่มคนที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน เพราะปริมาณสัตว์น้ำที่เป็นอาหารและรายได้ของคนในพื้นที่ลดน้อยหายไป
“จนเมื่อปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ในวิกฤตนั้นก็มีโอกาสสอดแทรกอยู่เสมอ เพราะหลังน้ำท่วมผ่านพ้นไปก็พบว่ามีลูกกุ้ง ลูกปู และลูกหอยเกิดขึ้นในอ่าวบ้านดอนเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านรอบอ่าวบ้านดอนจึงตระหนักถึงเรื่องนี้ และเริ่มหันกลับมาร่วมมือกันดูแลรักษาทรัพยากรเหล่านี้ให้อยู่ต่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลานร่วมกัน” อนัญญา กล่าว
“อ่าวบ้านดอน” เป็นเวิ้งอ่าวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ มีลักษณะเป็นท้องกระทะ รับน้ำจากแม่น้ำลำคลองน้อยใหญ่ทั้งหมด 11 สาย มีความยาวของแนวชายฝั่งประมาณ 120 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอ ใน จ.สุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย อ.เมือง ไชยา ท่าฉาง พุนพิน กาญจนดิษฐ์ และดอนสัก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์จากตะกอนปากแม่น้ำต่างๆ ที่ไหลลงสู่อ่าวบ้านดอน โดยเฉพาะแม่น้ำตาปีพุมดวง ดังจะเห็นได้จากเสาไม้ที่ปักอยู่ในอ่าวมากมาย เพื่อใช้เป็นที่เพาะเลี้ยงหอยนางรม หอยแครง และหอยแมลงภู่ รวมทั้งขนำกลางน้ำกระจายอยู่ทั่วไป
พงษ์เทพ วิไลพันธ์ ผู้ประสานงาน สำนักประสานงานวิจัยและพัฒนาสัตว์น้ำกับความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกร ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการจัดสรรและซื้อขายพื้นน้ำเพื่อทำฟาร์มหอยอยู่หลายแปลง มากบ้างน้อยบ้างตามแต่กำลัง ซึ่งในส่วนของชาวบ้านรายเล็กๆ ทั่วไป การทำประมงจะต้องมีรายได้เข้ากระเป๋าทุกวันจึงจะอยู่รอดได้ ดังนั้น การเลี้ยงหอย 1 ไร่จะมีเสาปักเพื่อให้หอยเกาะประมาณ 3,200 ต้น แบ่งเป็นการเลี้ยงหอยแครง หอยแมลงภู่ และหอยนางรมตามสัดส่วนที่เหมาะสม
ช่วงรายได้รายวันก็จะมาจากเวลาน้ำขึ้นลง ทำให้มีสาหร่ายเกาะตามเสา ชาวบ้านสามารถขูดสาหร่ายเหล่านั้นไปขายเพื่อเลี้ยงเป็ด ซึ่งทำให้ไข่เป็ดที่ได้ออกมาแดงเหมาะที่จะนำไปทำไข่เค็ม รวมทั้งอาจจะมีรายได้จากการจับปลากระบอกที่มากินสาหร่ายได้อีกทางด้วย
ช่วงรายได้รายเดือน (2025 วัน) มาจากเพียงที่เกาะตามเสา สามารถขูดไปขายเพื่อใช้เลี้ยงปูม้า ปูทะเลและปูแสมได้ ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่หอยแครงที่เลี้ยงไว้โตได้ขนาดที่จะขายได้น้ำหนักประมาณ 90 ตัวต่อกิโลกรัม สุดท้ายคือช่วง 12 ปีก็จะสามารถจับหอยนางรมที่มีขนาด 5 ตัวต่อกิโลกรัมมาขายได้พอดี ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ตลอด และยังได้หอยที่มีขนาดโตพอเหมาะ ไม่ใช่จับโดยไม่รอให้โตเต็มที่
นอกจากนี้ พงษ์เทพ ยังสอนถึงวิธีการสังเกตว่าตรงไหนเลี้ยงหอยแครงหรือหอยแมลงภู่ มีจุดสังเกตง่ายๆ คือ หากเสาบริเวณไหนปักระยะถี่ๆ ติดกัน แสดงว่าเป็นฟาร์มเลี้ยงหอยนางรม เพราะต้องการกันไม่ให้เรือประมงแล่นเข้าไปใกล้ ส่วนเสาที่ปักห่าง (ทิ้งช่วงห่าง 12 เมตร) จะเป็นฟาร์มเลี้ยงหอยแครงและหอยแมลงภู่
ขณะที่มีเสียงสะท้อนจากมุมมองภาคสังคมทวีศักดิ์ สุขรัตน์ กล่าวว่า ไม่อยากเห็นอ่าวบ้านดอนเป็นเหมือนทะเลสาบสงขลาที่มีการแย่งชิงแข่งขันและกอบโกยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เพียงแค่กลุ่มทุนใหญ่ๆ เท่านั้น ซึ่งสุดท้ายจะทำให้ประมงพื้นบ้านอยู่ลำบากและอยู่ไม่ได้ วันนี้จึงต้องร่วมมือประสานเครือข่ายดูแลซึ่งกันและกัน
เพียงแค่ทุกคนอยู่ในกฎกติกา ไม่มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวจนมากเกินไป ก็จะทำให้คนอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน


