กลุ่มปาล์มธรรมชาติปั้นแบรนด์"ผึ้ง"สู้ความยั่งยืน
โดย...เบ็ญจวรรณ รัตนวิจิตร
โดย...เบ็ญจวรรณ รัตนวิจิตร
“ยั่งยืน” สองคำสั้นๆ ที่มีความหมายและเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของบริษัท กลุ่มปาล์มธรรมชาติตั้งแต่รุ่นพ่อ สู่รุ่นลูก และการต่อยอดธุรกิจน้ำมันปาล์มครั้งใหม่ด้วยการปั้นแบรนด์ “ผึ้ง”
ธุรกิจกลุ่มปาล์มธรรมชาติ ก่อตั้งปี พ.ศ. 2542 เพื่อดำเนินกิจการโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบที่ จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากรุ่นพ่อ ทำธุรกิจน้ำมันยาง แล้วมองว่าจะไม่ยั่งยืน เพราะไม่อยากโค่นต้นยาง ซึ่งเป็นไม้ยืนต้น เพื่อเอาน้ำมันยาง
โกวิท ควรทรงธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ปาล์มธรรมชาติ เปิดเผยว่า หลังจากเลิกทำน้ำมันยาง ครอบครัวหันมาทำน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม ซึ่งเก็บแต่ผลอย่างเดียว ไม่ต้องโค่นต้นไม้ โดยเปิดโรงงานสกัดปาล์มดิบที่ จ.สุราษฎร์ธานี และเปิดแห่งที่ 2 ที่ จ.ชุมพร เน้นรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรรายย่อยกว่า 1,000 ราย โดยเข้าไปตั้งจุดรับซื้อในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.สุราษฎร์ธานี ชุมพร และกระบี่ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกปาล์มหลักของไทย
กลุ่มปาล์มธรรมชาติดำเนินธุรกิจขายน้ำมันปาล์มให้กับบริษัทต่างๆ แบบบีทูบีเป็นระยะเวลา 10 ปี ก่อนจะหันมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง ด้วยเหตุผลเดียวคือ ความยั่งยืน แบรนด์ “ผึ้ง” จึงออกสู่ตลาดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
“แบรนด์ผึ้ง สื่อถึงความเป็นธรรมชาติสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของกลุ่มปาล์มธรรมชาติ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่เราต้องหันมามีแบรนด์ของตัวเอง เพราะมองแล้วว่ายั่งยืนกว่าและเป็นการขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปสู่ผู้บริโภค” โกวิท กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 2 ปี สร้างแบรนด์ผึ้งให้เป็นที่รู้จักกับผู้บริโภคทั่วไป โดยเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับน้ำมันปาล์ม ภายใต้สโลแกน “กรอบอร่อยได้คุณค่า” ซึ่งที่ผ่านมาผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดว่าน้ำมันปาล์มมีคอเลสเตอรอลสูงกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น แต่ โกวิท ยืนยันว่า การใช้น้ำมันให้ตอบวัตถุประสงค์ของการทำอาหารแต่ละชนิดจะเกิดประโยชน์ กรณีน้ำมันปาล์มถือเป็นฮาร์ดออยล์ที่ทนความร้อนสูง การใช้สำหรับทอด จึงตอบโจทย์ได้ดีกว่า
นอกจากนี้ ในกระบวนการผลิตบริษัทต้องการลดต้นทุนด้านพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ตราผึ้งมีค่า “คาร์บอน ฟุตพรินต์” ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม โดยมีค่า 779 กรัม/ลิตร โดยได้การรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาด้วยจิตสำนึกของบริษัทที่ต้องการเติบโตในธุรกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบของกลุ่มปาล์มธรรมชาติ ถือเป็นโรงงานแห่งแรกของไทย ที่คิดค้นและริเริ่มนำน้ำเสียจากการผลิตน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ ผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ส่วนของทลายปาล์ม ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ได้นำไปผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับเพาะปลูกและแปรรูปเป็นชีวมวล เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงกลั่น เป็นพลังงานหมุนเวียนสำหรับใช้ในโรงงาน ลดการใช้น้ำมันเตาหรือก๊าซธรรมชาติอื่นๆ เพื่อช่วยลดโลกร้อน
ขณะเดียวกัน บริษัทคืนกำไรสู่สังคมด้วยการมอบทุนการศึกษาให้กับบุตรหลานของเกษตรกรสวนปาล์มอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งถือเป็นปณิธานสำคัญขององค์กรในการคืนกำไรสู่สังคม
โกวิท กล่าวว่า การลุกขึ้นมาสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ตรา “ผึ้ง” ถือเป็นการสร้างความยั่งยืนไม่เฉพาะแค่ธุรกิจของบริษัทเท่านั้น แต่รวมถึงชุมชน เกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม เพราะหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ประเทศไทยจะเจอกับคู่แข่งรายใหญ่ โดยเฉพาะมาเลเซียและอินโดนีเซียที่มีพื้นที่ปลูกปาล์ม 45 ล้านเฮกเตอร์ เทียบไม่ได้กับไทยที่มีแค่ 23 ล้านไร่
“การมีแบรนด์จะช่วยทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น และที่สำคัญอยากให้คนไทยหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ของไทย ที่มีคุณภาพไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ของต่างชาติ ซึ่งทุกวันนี้ธุรกิจน้ำมันปาล์มได้กลายเป็นของต่างชาติไปหลายบริษัทแล้ว” โกวิท กล่าว
วันนี้แบรนด์ “ผึ้ง” พร้อมแล้วที่จะก้าวไปนั่งในใจผู้บริโภค และจะขยายธุรกิจสู่การผลิตผลิตภัณฑ์เนย รวมถึงน้ำมันมะพร้าว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาของไทยต่อไป


