posttoday

ของหายในโรงภาพยนต์

13 มิถุนายน 2556

ท่านผู้อ่านสอบถามมาเกี่ยวกับของหายในโรงภาพยนตร์ เช่น โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ เป็นต้น ถามว่า ถ้าพนักงานของโรงภาพยนตร์เก็บได้ และไม่ยอมส่งคืนจะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่

ท่านผู้อ่านสอบถามมาเกี่ยวกับของหายในโรงภาพยนตร์ เช่น โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ เป็นต้น ถามว่า ถ้าพนักงานของโรงภาพยนตร์เก็บได้ และไม่ยอมส่งคืนจะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่

ผมได้ไปค้นคำพิพากษาฎีกามาแล้วว่า การเก็บทรัพย์สินผู้อื่นโดยรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของกำลังติดตามอยู่ มีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่กรณีแอบเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ฟรี ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะไม่มีการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น เป็นเพียงการแอบใช้บริการฟรี ซึ่งสามารถตีราคาเป็นเงินได้เท่านั้น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับของหาย มีดังต่อไปนี้

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2502

จำเลยเก็บกระเป๋าใส่เงินของเจ้าทรัพย์ซึ่งเหน็บไว้ที่เอวแล้วเลื่อนหลุดไปจากเอวในขณะนั่งดูภาพยนตร์อยู่ใกล้เคียงกันในโรงภาพยนตร์นั้น ถือว่าทรัพย์นั้นยังอยู่ในความยึดถือของเจ้าทรัพย์ ไม่ใช่เป็นทรัพย์ที่อยู่ในสภาพของตกของหาย เมื่อจำเลยเอาไปเสีย ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1363/2503

ทรัพย์สินหายเป็นเรื่องที่ทรัพย์หลุดพ้นไปจากความยึดถือของเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยมิได้ตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องสละการครอบครอง ผู้ใดเก็บเอาทรัพย์นั้นไป จะเป็นลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สินหาย ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นรายๆ ไป คือ ถ้าเก็บเอาไปโดยรู้หรือควรรู้ว่าทรัพย์นั้นเจ้าของกำลังติดตามหรือจะติดตามเพื่อเอาคืนก็เป็นลักทรัพย์ ถ้าไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ก็เป็นยักยอกทรัพย์สินหาย

รถทหารคว่ำทำให้ปืนทหารตกน้ำ 1 กระบอก ทหารงมหา 2 ครั้งไม่พบ จึงไปแจ้งความที่อำเภอ ต่อมาตอนค่ำวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยไปงมเอาปืนนั้นมาขายเสีย แสดงว่าจำเลยรู้หรือควรรู้ว่ารถทหารคว่ำปืนจมน้ำอยู่ แล้วถือโอกาสตอนปลอดผู้คนไปงมเอาปืนที่อยู่ในระหว่างเจ้าของกำลังติดตามเพื่อเอาคืน จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2503)

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2512

ผู้เสียหายทำปากกาของตนตกอยู่ในบริเวณร้านขายกาแฟที่ผู้เสียหายขายของอยู่ ผู้เสียหายได้ออกไปขายขนมที่อื่นห่างเพียงประมาณ 1 เส้น เป็นเวลาไม่เกิน 5 นาที ก็รู้ว่าปากกาหายจึงรีบกลับไปค้นและสอบถาม ได้ความจาก ป. ว่าเป็นผู้เก็บปากกานั้นได้และถามหาเจ้าของ จำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของ ป. จึงมอบปากกาให้จำเลยไป ผู้เสียหายไปถามจำเลย จำเลยปฏิเสธ ดังนี้ถือว่าทรัพย์ยังอยู่ในความยึดถือของผู้เสียหาย ไม่ใช่ทรัพย์ตกหาย การที่มีผู้อื่นเก็บได้มิใช่จะทำให้ความยึดถือของผู้เสียหายขาดตอนไป จำเลยเอาไปจากผู้อื่นโดยรู้อยู่ว่าไม่ใช่ของตน จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ต้องด้วยความผิดฐานลักทรัพย์ (อ้างฎีกาที่ 519/2502)

4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769/2534

ธ. เบิกความว่า เห็นถุงกระดาษวางอยู่บนโต๊ะที่เข้าไปนั่ง จึงบอกให้จำเลยเก็บไป ต่อมาประมาณ 10 นาที ผู้เสียหายเข้ามาถามหาถุงกระดาษ ธ. บอกว่าเรียกให้จำเลยเอาไปเก็บที่หลังตู้แล้ว แต่ขณะนั้นจำเลยไม่อยู่แล้วผู้เสียหายจึงตามไป ธ. เป็นประจักษ์พยานของโจทก์ไม่รู้จักผู้เสียหายและเป็นผู้หยิบถุงกระดาษใส่เงินให้จำเลยเอง จึงเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดจำเลยห่างกันไม่เกิน 2 เมตร หลังเกิดเหตุ ธ. ไปที่สถานีตำรวจพบจำเลยก็ยืนยันต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีว่าจำเลยคือผู้ที่ ธ. เรียกมาเก็บถุงกระดาษใส่เงิน และชั้นสอบสวน ธ. เป็นผู้นำชี้ที่เกิดเหตุ ดังนี้คำเบิกความของ ธ. มีเหตุผลน่าเชื่อถือ จำเลยเป็นผู้เอาถุงกระดาษใส่เงินของผู้เสียหายไป และหลังจากรู้ตัวว่าลืมถุงกระดาษใส่เงินไว้ที่ร้านจำเลยเพียง 10 นาที ผู้เสียหายก็รีบออกจากสำนักงานที่ดินซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับร้านจำเลยติดตามหาถุงกระดาษใส่เงินทันที เช่นนี้ถือได้ว่าผู้เสียหายยังมีการครอบครองถุงกระดาษใส่เงินอยู่ เมื่อจำเลยเอาไปจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์

5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3935/2553

จำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะเอาสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปตั้งแต่ต้น การที่จำเลยเอาสุราต่างประเทศใส่ในลังน้ำปลาแล้วนำไปชำระเงินกับพนักงานแคชเชียร์ของผู้เสียหายเท่ากับราคาน้ำปลา เป็นเพียงกลอุบายของจำเลยเพื่อเอาสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปโดยทุจริตเท่านั้น โดยพนักงานแคชเชียร์ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เสียหายมิได้มีเจตนาส่งมอบการครอบครองสุราต่างประเทศให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงไม่

6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2402/2529

ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายทำธนบัตรของกลางตกที่หน้าแผงลอยของนางสาว พ. ขณะที่ล้วงกระเป๋าหยิบเงินมาชำระค่าปลาหมึกให้แก่นางสาว พ. จำเลยที่ 1 มาพบก้มลงหยิบธนบัตรดังกล่าวไป หลังจากที่จำเลยที่ 1 เดินจากไปแล้ว ผู้เสียหายจึงรู้ตัวว่าธนบัตรของกลางหายไป สอบถามนางสาว พ. ได้ความว่าจำเลยที่ 1 เก็บเอาไป ดังนี้การที่จำเลยที่ 1 เอาธนบัตรของกลางไปในขณะที่ผู้เสียหายยังยืนอยู่ในบริเวณที่ทำธนบัตรตก และในเวลาใกล้เคียงกันนั้นเอง ผู้เสียหายก็รู้ทันทีว่าธนบัตรของตนหายไป ถือได้ว่านับแต่เวลาที่ธนบัตรของกลางหล่นลงไปที่พื้นจนถึงเวลาที่จำเลยที่ 1 หยิบเอาไป ผู้เสียหายยังคงยึดถือธนบัตรนั้นอยู่ การครอบครองธนบัตรยังอยู่กับผู้เสียหาย เมื่อจำเลยที่ 1 เอาธนบัตรของกลางไปจากความครอบครองของผู้เสียหายเพื่อจะเอาไปเป็นของตนเอง จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท

มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด สเปอร์ส พบ ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 20 ธ.ค.68