แนะปลูก “พืชตระกูลถั่ว” สู้แล้ง แนวโน้มราคาแพง
ข้าวมีราคาแพง ประกอบกับมีโครงการประกันรายได้ เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาทำนาปรังมากขึ้น ซึ่งเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนจากวิฤกตภัยแล้ง
ข้าวมีราคาแพง ประกอบกับมีโครงการประกันรายได้ เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาทำนาปรังมากขึ้น ซึ่งเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนจากวิฤกตภัยแล้ง
ปีนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังคาดว่าพุ่งขึ้นประมาณ 9.5 ล้านไร่ แยกเป็น ในเขตชลประทาน 7.5 ล้านไร่ และนอกเขตชลประทาน 2 ล้านไร่ ซึ่งหลายพื้นที่ได้เกิดปัญหาการแย่งชิงน้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะการข้าวปลูกหนึ่งรอบการผลิตต้องใช้น้ำปริมาณมากทำให้น้ำไม่พอเพียงกับความต้องการ เป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่กำลังถูกจับตา...อย่างไรก็ตามหน่วยงานภาครัฐได้รณรงค์ให้งดปลูกข้าวนาปรังรอบ 2 และให้ปลูกพืชไร่-ผักที่มีช่องทางการตลาดดีทดแทน
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า หลังเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังรอบที่ 1 แล้ว เกษตรกรควรพักดินและงดทำนาปรังรอบ 2 และควรปลูกพืชชนิดอื่นที่มีลู่ทางการตลาดดีทดแทนข้าวนาปรัง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว และถั่วลิสง ซึ่งมีแนวโน้มราคาอยู่ในเกณฑ์ดี นอกจากเป็นพืชอายุเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อยที่สามารถช่วยประหยัดน้ำ และลดปัญหาการแย่งชิงน้ำเพื่อการเกษตรแล้ว ยังช่วยตัดวงจรปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าวได้อีกทางหนึ่งด้วย
เกษตรกรควรจัดระบบการปลูกพืชในนาข้าวใหม่ โดยปลูกพืชตระกูลถั่วสลับกับการทำนาปี-นาปรัง เช่น ปลูกถั่วเหลืองหลังนา สามารถที่จะช่วยปรับโครงสร้างดินให้สมบูรณ์ขึ้นได้ ถ้าไถกลบต้นถั่วเหลืองลงดินจะมีปริมาณธาตุไนโตรเจนที่ได้จากการสลายตัวของถั่วเหลือง 7 กก.ไนโตรเจน/ไร่ คิดเป็นปริมาณไนโตรเจนในปุ๋ยยูเรีย(46-0-0) 15 กก./ไร่ หรือไนโตรเจนในปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรท(21-0-0) 34 กก./ไร่
เมื่อกลับไปปลูกข้าว เกษตรกรไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยไนโตรเจนอีกเลย คาดว่าจะสามารถจะช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ยไนโตรเจนในนาข้าวทั้งประเทศได้ปีละกว่า 4,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายผลผลิตถั่วเหลือง และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากผลผลิตข้าว คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 12,032 ล้านบาท นอกจากถั่วเหลืองแล้ว อาจปลูกถั่วเขียวหรือถั่วลิสง ซึ่งเกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกัน และที่สำคัญยังได้ปรับปรุงโครงสร้างดินในแปลงนาไปในตัวด้วย
นายเทวา เมาลานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร แนะนำว่า การเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง เกษตรกรควรคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนที่จะหล่อเลี้ยงพื้นที่เพาะปลูกว่ามีเพียงพอหรือไม่ เพราะน้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อระบบการผลิต หากปริมาณน้ำไม่เพียงพอเกษตรกรไม่ควรทำนาปรังแต่ควรปลูกพืชอายุสั้นและใช้น้ำน้อยแทน โดยเลือกปลูกพืชไร่ที่มีราคาดี เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และถั่วเขียว ซึ่งจะใช้น้ำประมาณ 400-600 ลบ.ม./ไร่/รอบการผลิต ทั้งยังต้องมองถึงช่องทางตลาดด้วยว่า พืชชนิดใดที่ตลาดมีความต้องการมากเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน
นอกจากนี้เกษตรกรต้องมีวิธีการเขตกรรมและจัดการแปลงอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตั้งแต่เตรียมดินโดยเฉพาะนาในเขตชลประทานที่มีสภาพค่อนข้างเป็นดินเหนียว ต้องคำนึงถึงความชื้นที่เหมาะสม ขณะเดียวกันยังต้องเลือกใช้เมล็ดพันธุ์พืชพันธุ์ดีที่มีคุณภาพ ให้ผลผลิตสูงและเหมาะกับสภาพพื้นที่
ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรได้มีพันธุ์พืชรับรองเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร อาทิ ถั่วเหลืองพันธุ์เชียงใหม่60 เชียงใหม่2 เชียงใหม่5 นครสวรรค์1 พันธุ์ขอนแก่น ถั่วเขียวพันธุ์ชัยนาท72 กำแพงแสน1 กำแพงแสน2 และพันธุ์ชัยนาท36 ถั่วลิสงพันธุ์ขอนแก่น6 ขอนแก่น 5 พันธุ์กาฬสินธุ์ 1 และกาฬสินธุ์2 เป็นต้น
เกษตรกรต้องมีการกำจัดวัชพืชในแปลงให้ทันเวลาและสม่ำเสมอ พร้อมป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชด้วย สำหรับโรคและแมลงศัตรูพืชสำคัญของถั่วเขียวและถั่วเหลือง ได้แก่ หนอนแมลงวันเจาะลำต้น แมลงหวี่ขาว และโรคราสนิม ส่วนศัตรูพืของถั่วลิสง ได้แก่ เสี้ยนดิน อีกทั้งยังต้องมีการให้ปุ๋ยอย่างถูกต้องเหมาะสมและตรงตามความต้องการของพืช โดยใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ซึ่งจะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ค่อนข้างมาก
การให้น้ำเป็นเรื่องสำคัญมาก เกษตรกรควรคำนึงถึงความต้องการของพืช ในช่วงอุณหภูมิสูงไม่ควรให้ขาดน้ำจนพืชเหี่ยวเฉา เพื่อให้การปลูกถั่วเหลืองและถั่วเขียวได้ผลผลิตดี ควรให้น้ำทุก 10-14 วัน พยายามอย่าให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะระยะที่พืชออกดอกติดฝักไม่ควรให้ขาดน้ำอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้ดอกร่วงไม่ติดฝัก ส่งผลให้ได้ผลผลิตลดลงและเสียหายได้ ส่วนถั่วลิสงควรให้น้ำเมื่อความชื้นในดินลดลง หรือสังเกตต้นถั่วเมื่อใบเริ่มเหี่ยวในตอนกลางวัน การให้น้ำควรมีช่วงห่างระยะ10-15 วัน/ครั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นแนวทางช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตพืชฤดูแล้งหลังนาได้


