สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ ทายาท ช.การช่าง

“สุภามาส ตรีวิศวเวทย์” วัย 39 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ (CKP) ที่กำลังจะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) ภายใต้เกณฑ์โฮลดิงเป็นบริษัทแรก คาดหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือน มิ.ย.นี้

เธอคือบุตรสาวคนโตของ “ปลิว ตรีวิศวเวทย์” ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง (CK) บริษัทรับเหมาก่อสร้างใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ

เธอมีเป้าหมายที่จะทำให้ CKP เป็นบริษัทพลังงานที่มีการเติบโตต่อเนื่องและสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศและเป็นธุรกิจหลักด้านพลังงานให้กับ ช.การช่าง จากปัจจุบัน CKP มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 874.5 เมกะวัตต์ และมีเป้าหมายว่าในปี 2562 กำลังผลิตจะเพิ่มเป็น 2,300 เมกะวัตต์

สุภามาส จบปริญญาตรี อักษรศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2538 และปริญญาโท ด้านนโยบายสาธารณะ ที่มหาวิทยาลัยดุค สหรัฐ ในปี 2542 และปริญญาเอก รัฐประศาสนศาสตร์ ในปี 2547 ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย สหรัฐ

บิดาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจบแล้วจะเข้ามาบริหารธุรกิจของครอบครัว แต่ทั้งหมดเกิดจากความซึมซับตั้งแต่วัยเด็กยุค ช.การช่าง เป็นบริษัทห้องแถวพ่อของเธอก็พามาเลี้ยงที่ทำงานและคลุกคลีมาตลอด จึงเห็นบริษัทเติบโตจากเล็กไปหาใหญ่อย่างต่อเนื่อง

เธอไม่ได้เข้าไปนั่งบริหารในบริษัท ช.การช่าง เพราะ CK มั่นคงและมีทีมบริหารที่เป็นมืออาชีพทำงานกันมากว่า 3040 ปี เธอเพียงเข้าไปเรียนรู้งานบริหารโดยทำงานที่สำนักบริหารของ ช.การช่าง เป็นเวลารวมกว่า 8 ปี

งานแรกหลังจบปริญญาเอกเธอเข้าทำงานที่ธนาคารโลก ประจำประเทศไทย ด้านนโยบายสาธารณะ เป็นเวลากว่า 1 ปี ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี

สำหรับการทำงานใน CKP ซึ่งเป็นธุรกิจพลังงานที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชน กับสิ่งแวดล้อม ทำให้เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง

“ยอมรับว่าการที่เป็นลูกของพ่อ เมื่อเข้ามาบริหารก็มีความกดดันบ้าง แต่ทุกอย่างก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ผลงาน ต้องทำงานเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ทำคนเดียว เพราะยังมีทีมผู้บริหารซึ่งเป็นทีมงานของคุณพ่อร่วมทำงานอยู่ด้วย ซึ่งแต่ละคนมีประสบการณ์การทำงานกับคุณพ่อมากว่า 3040 ปี” สุภามาส กล่าว

เธอยึดบิดาเป็นต้นแบบ โดย “ปลิว” มักจะสอนลูกสาวเสมอว่า ต้องทำงานเป็นทีม ทำงานคนเดียวเป็นไปไม่ได้และยากที่จะประสบความสำเร็จ ต้องทำเพื่อประโยชน์ของทุกคน ไม่ได้แสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญคือการทำธุรกิจจะต้องจริงใจ การทำงานต้องมองระยะยาว ซึ่งหลักการนี้ชัดเจน เพราะทุกวันนี้บิดากับคู่ค้าโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจร่วมกันมายังคงแนบแน่นทำธุรกิจร่วมกันมากว่า 30 ปี

เธอเป็นคุณแม่ลูก 4 หญิง 2 ชาย 2 ในวัยไล่เลี่ยกัน โดยคนโต 6 ขวบ คนรอง 4 ขวบ และคู่แฝดชาย 2 ขวบ ซึ่งเธอบอกว่าเมื่อกลับถึงบ้านงานในที่ทำงานทุกอย่างจบ ต้องสวมบทบาทคุณแม่เต็มตัว