สังคมต้องการธรรมจรรโลงใจ
....ณัฐพล ลือพร้อมชัย
สุขสันต์วันสงกรานต์แด่ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆ เกิดขึ้นในช่วงนี้อีก หลายวันที่ผ่านมามีสถานการณ์เลวร้ายต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในบ้านเมืองของเรา ทำให้ต้องมองย้อนไปว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้นควรต้องทำอย่างไร
ในฐานะชาวพุทธธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้เคร่งมากนัก แต่ทุกครั้งเมื่อเกิดความทุกข์ก็จะลองมองหาทางออกในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในหนังสือนวโกวาทที่เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งเป็นหนังสือที่พระใหม่ทุกรูปจะต้องมีเพื่อใช้ศึกษา สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยอยากจะขออธิบายเพิ่มเติมว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือธรรมะเล่มบางเฉียบที่รวบรวมคำสอนหลักๆ ของพระพุทธองค์แบ่งเป็นหมวดๆ อ่านง่ายเหมาะจะมีไว้สืบค้น แต่หากจะมีคำอธิบายที่ค่อนข้างสั้นสักหน่อย หากไม่เข้าใจคงต้องหาอ่านเพิ่มจากหนังสือเล่มอื่นๆ หรือหากเป็นคนรุ่นใหม่คุ้นเคยกับอินเทอร์เน็ตก็สามารถค้นจาก Google หรือ Wikipedia ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดครับ
ย้อนกลับมาที่หัวเรื่องของวันนี้ หากไม่ต้องการให้เกิดเหตุเลวร้าย เราไม่ต้องทำอะไรมากครับ ไม่ต้องสืบค้นหาธรรมที่ซับซ้อนแต่อย่างใด หากเพียงแค่เปิดหนังสือนวโกวาทในส่วนของธรรมวิภาคบทแรกก็พบแล้วครับ เป็นธรรมหมวด 2 หมายถึงแต่ละหมวดจะมีธรรมเป็นคู่ ได้แก่
ธรรมมีอุปการะมาก 2 อย่าง คือ สติ (ความระลึกได้) และ สัมปชัญญะ (ความรู้ตัว)
ธรรมเป็นโลกบาล หรือ ธรรมคุ้มครองโลก 2 อย่าง คือ หิริ (ความละอายแก่ใจ) และ โอตตัปปะ (ความเกรงกลัว)
ธรรมอันทำให้งาม 2 อย่าง คือ ขันติ (ความอดทน) และ โสรัจจะ (ความเสงี่ยม)
สังคมจะดีกว่านี้หากเพียงแค่คนในสังคมมี สติ ระลึกได้ถึง เรื่องที่ทำ คำที่พูด เรื่องที่คิด ทั้งเรื่องที่ผ่านมา และเรื่องที่ยังไม่เกิด ต่อมาหากมี สัมปชัญญะ รู้ตัวที่เป็นไปในปัจจุบัน ว่ากำลังทำ กำลังพูด หรือกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อระลึกได้อยู่เสมอและรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ก็จะไม่พลั้งเผลอทำชั่ว เบียดเบียน หรือลิดรอนสิทธิของเพื่อนร่วมสังคม ด้วยพื้นฐานแล้วเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนอยากเป็นคนดี แต่มักทำชั่วเพราะลืมตัว หรือเสียสติไปชั่วคราว ต่อเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วจึงมักจะเสียใจในภายหลัง
หากมีธรรมข้อนี้แต่ต้น ความวุ่นวายในสังคมก็จะไม่เกิด
สังคมจะดีกว่านี้หากเพียงแค่คนในสังคมมี หิริ ความละอายต่อบาป รู้สึกรังเกียจ ไม่อยากทำบาป เห็นบาปเป็นของสกปรก จะทำให้ใจของเศร้าหมอง และ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป เป็นความรู้สึกกลัว กลัวว่าเมื่อทำไปแล้ว บาปจะส่งผลเป็นความทุกข์ทรมานแก่เรา
หากผู้นำฝ่ายต่างๆ ได้มองว่าสิ่งที่ตนคิดสิ่งที่ตนกระทำ และสิ่งที่กำลังจะกระทำ จะนำมาซึ่งความเดือดร้อนแก่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งผู้ที่ร่วมชุมนุมและไม่ได้ร่วมชุมนุม ตั้งแต่ความไม่สบายกายที่ไม่สามารถเดินทางไปที่ต่างๆ ได้อย่างมีอิสระตามสิทธิและเสรีภาพที่พึงจะมี ไม่สบายใจที่ต้องดูข่าวสารการเข่นฆ่า ข่มขู่ ให้ร้ายป้ายสี และไม่สามารถคาดเดาอนาคตว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงกว่านี้หรือไม่ อีกทั้งไม่รู้ว่าในอนาคตอันใกล้จะยังสามารถทำมาหากินได้ตามปกติสุขได้อย่างไร
เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลเสียหายร้ายแรงทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้การท่องเที่ยว การค้าขาย และการลงทุนหยุดชะงักไปหมด
ท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับผลก่อนใคร ทั้งรุนแรง รวดเร็ว และชัดเจน ก็คือประชาชนตาดำๆ คนส่วนใหญ่ในสังคมนั่นเอง
ในขณะที่ผู้นำฝ่ายต่างๆ ไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงเท่า หรือไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย หรือแม้กระทั่งอาจได้ประโยชน์จากการสร้างความเดือดร้อนนี้ แต่ท้ายที่สุดก็เชื่อว่าผู้นำฝ่ายใดก็ตามที่กระทำการก่อการร้ายนี้ก็จะต้องได้รับความทุกข์ จากบาปที่ได้ก่อไว้เช่นกัน
สังคมจะดีกว่านี้หากเพียงแค่คนในสังคมมี ขันติ ความอดทน ต่อสิ่งยั่วยุ ต่อกิเลส ความโลภ ความหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ และอดทนต่อสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาต่างๆ รวมไปถึงการอดทนไม่ให้จิตใจฝักใฝ่ในการทำชั่วต่างๆ
และ โสรัจจะ ความเสงี่ยม ถือเป็นการแสดงออกของการมีขันติ เมื่อมีขันติในใจ การแสดงออกต่อมาทางกิริยา วาจา ก็ต้องเป็นไปในทางที่ไม่สร้างความเสื่อม ความเดือดร้อนแก่ผู้หนึ่งผู้ใด รวมไปถึงต่อสังคมและประเทศชาติ เมื่อคิดดี ทำดี โอกาสจะเกิดความขัดแย้งบาดหมางก็จะไม่มี
จากสถานการณ์ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสังคมของเราต้องการธรรมะข้อนี้เป็นอย่างยิ่ง และไม่เพียงต้องการจากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องการจากทุกฝ่ายในสังคม ทั้งผู้นำฝ่ายต่างๆ ผู้ตาม ผู้ร่วมการชุมนุม พลังเงียบ ประชาชนทั่วไปทุกคน
ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศถูกระบุตามสัมโนประชากรว่าเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเรานับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำใจจริงไม่ใช่แค่ข้อมูลตามบัตรประชาชน หากเรายังไม่แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระศาสดาอย่างแท้จริง การค้นหาธรรมเพื่อศึกษาและนำไปปฏิบัตินั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย ธรรมมีอยู่ทุกข์ที่ตั้งแต่ในบ้าน ในหนังสือ ในอินเทอร์เน็ต ใน Facebook ในวัดวาอาราม แม้แต่ในที่ชุมนุม ก็มีวัดที่มีผู้เคารพนับถืออยู่ใกล้เคียง ให้เข้าไปหาความสงบในจิตใจ ทั้งวัดบวรนิเวศ วัดปทุมวนาราม และอีกหลายวัด ลองเข้าไปศึกษากันบ้างดีไหมครับ ธรรมะไม่ใช่สิ่งไกลตัวเราเลย
เห็นได้จากบทความในวันนี้ ผู้เขียนเปิดหนังสือเพียงแค่หน้าแรกก็เห็นทางออกของความวุ่นวาย ที่ต้นเหตุของปัญหาแล้วครับ เหลือเพียงแค่ว่าเราจะปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนเหล่านี้ได้อย่างไรให้พร้อมเพรียงกัน และเริ่มกันเมื่อไรเท่านั้นเอง เรามาเริ่มกันเลยในวันนี้ วันสงกรานต์ วันปีใหม่ของพวกเราชาวไทยทุกคนดีไหมครับ
เพราะ สังคมนี้ต้องการธรรมจรรโลงใจ แล้วพบกันใหม่เดือนหน้าครับ


