posttoday

ฟองสบู่...รู้เมื่อแตก

28 เมษายน 2556

โดย....นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)

โดย....นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)

คำว่า “ฟองสบู่” ในมุมมองของผมนั้น ได้แก่ การที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนเกินปัจจัยพื้นฐาน หรือการที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถหาเหตุผลได้ ภาวะฟองสบู่มีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายในช่วงที่คนส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดี ซึ่งทำให้คนมองไม่เห็นหรือมองเห็นแต่ไม่ยอมรับ แต่ภาวะฟองสบู่จะเป็นสิ่งที่คนกลัวหรือสามารถเห็นได้ชัดเมื่อฟองสบู่นั้นแตกแล้ว ซึ่งเมื่อถึงขั้นฟองสบู่แตกแล้วนั้น ความเสียหายจะมีมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับสินทรัพย์ที่ผมเห็นว่าเข้าข่ายฟองสบู่ในลำดับถัดไป คือ ตราสารหนี้ ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยปัจจัยพื้นฐาน โดยพิจารณาได้จากอัตราผลตอบแทน (ราคาเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนลดลง, ราคาลดลง อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น) ซึ่งในขณะนี้จะเห็นได้ว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ทั่วโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นักลงทุนทุกท่านคงจะพอทราบแล้วว่าการที่อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ลดลงนั้น เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น 1) ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี อัตราดอกเบี้ยลดลง อัตราเงินเฟ้อลดลง 2) ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าตราสารทุน ทั้งนี้การลดลงของอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในปัจจุบันเกิดจากทุกประเด็นที่กล่าวมา แต่มีประเด็นหนึ่งที่ผมถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ คือ ความต้องการซื้อจากธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ อังกฤษ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งเกิดขึ้นจากมาตรการ QE เพื่อต้องการกดอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อเป็นการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน

ประเด็นนี้แหละเป็นปัจจัยที่ทำให้ผมคิดว่าตราสารหนี้เข้าข่ายเกิดฟองสบู่ เนื่องจากดังได้กล่าวมาแล้ว การเข้าซื้อของธนาคารกลางไม่ได้เป็นความต้องการซื้อตามปกติ ซึ่งหมายถึงว่าในขณะนี้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ก็อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติเช่นกัน หรือนัยหนึ่งคือ ราคาของตราสารหนี้อาจจะสูงเกินไปเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน

จากการติดตามความเห็นของนักวิเคราะห์ตลาดตราสารหนี้ในต่างประเทศมีความเห็นว่า อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐ อายุ 10 ปี ในปี 2556น่าจะอยู่ที่ 2.5% และ 3% ในปี 2557 ดังนั้นหากเทียบกับระดับ 1.7% ในปัจจุบัน ก็คงสามารถบอกได้ว่าราคาพันธบัตรในปัจจุบันแพงเกินไป ดังนั้นหากธนาคารกลางสหรัฐเริ่มหยุดมาตรการ QE จริงตามที่เป็นข่าวอยู่ในช่วงนี้ ก็หมายความว่า ฟองสบู่ในตลาดตราสารหนี้สหรัฐก็มีโอกาสแตกได้เช่นกัน

สำหรับตลาดหุ้นไทย ผมคิดว่ายังคงไม่ถึงขั้นฟองสบู่ หากระดับดัชนีฯ เพิ่มขึ้นไปถึง 1,700-1,800 จุด ตามที่มีการคาดการณ์กัน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของผลการดำเนินงานรองรับ แต่ก็เป็นการไม่ดีแน่หากราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนในช่วงไตรมาส 1/2556 ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยปัจจัยพื้นฐาน ยกเว้นประเด็นเรื่องสภาพคล่อง ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนเหมือนที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ ทั้งนี้ตลาดหุ้นที่น่าจับตาว่าอาจจะเกิดภาวะฟองสบู่ในขณะนี้คือ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์

ผมมีสินทรัพย์ที่กำลังจับตาอีก 2 สินทรัพย์ คือ 1)ค่าเงินบาท และ 2) อสังหาริมทรัพย์ ประเด็นเรื่องค่าเงินบาท ผมเห็นว่าทาง ธปท.เองก็ยอมรับแล้วว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งก็หมายถึง ค่าเงินบาทกำลังเกิดฟองสบู่ ทั้งนี้ผมคงไม่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก

ส่วนเรื่องอสังหาริมทรัพย์นั้น ผมคิดว่าในขณะนี้เราสามารถพูดได้ว่าเริ่มเห็นสัญญาณของปัจจัยที่จะนำไปสู่ฟองสบู่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งหากไม่มีการสกัดกั้น คาดว่าในอีก 1-2 ปี เราจะเห็นวิกฤตของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นคล้ายคลึงกับวิกฤตรอบที่แล้ว โดยสองปัจจัยหลักที่เรากังวลคือ การเก็งกำไรของกลุ่มคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการเก็งกำไรที่ดินในต่างจังหวัด ซึ่งบางพื้นที่นำไปสู่การเก็งกำไรที่อยู่อาศัยด้วย

ปี 2555 เป็นปีที่มียอดคอนโดมิเนียมจดทะเบียนใหม่สูงที่สุดในรอบ 16 ปี และคาดว่าในปีนี้ยอดจดทะเบียนจะทำสถิติใหม่อีกครั้ง ขณะที่การเปิดขายใหม่เฉลี่ยปีละ 6 หมื่นหน่วย ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าปกติ

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ...ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวของผมเอง

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"