นักลงทุนหน้าใหม่"สุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข"
มุมมองการลงทุนในสายตา "สุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.เอ็ม.ซี. อุตสาหกรรม
โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง
รูปแบบการลงทุนย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอหากเปลี่ยนไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า นั่นคือประโยคหนึ่งที่ “สุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.เอ็ม.ซี. อุตสาหกรรม (TMC) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรระบบไฮดรอลิก ได้กล่าวไว้ เพราะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดหุ้นกว่า 2 ปี
“สุรเชษฐ์” ได้เล่าถึงการลงทุนของเขาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเข้าสู่มหาวิทยาลัย ก็จะนำเงินที่เหลือในแต่ละเดือนไปซื้อสลากออมสินเป็นประจำ เพราะหวังในอัตราดอกเบี้ยที่อย่างน้อยก็ดีกว่าการฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็มีโอกาสเสี่ยงโชคที่จะถูกรางวัลสลากออมสินด้วย
แต่จุดหักเหสำคัญที่ทำให้กลายเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดหุ้นได้ เพราะหลังเรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมและปริญญาโทด้านการเงิน ได้สานต่อธุรกิจที่บ้านและต้องการขยายธุรกิจจึงเริ่มศึกษาวิธีการระดมทุนและจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และขณะเดียวกันก็เริ่มศึกษาการลงทุนในหุ้นเป็นอย่างไร ซึ่งเขายอมรับว่าที่ผ่านมาเป็นคนหนึ่งที่เคยมีความเข้าใจว่า “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” และทำให้ไม่กล้าที่จะตัดสินใจเข้ามาลงทุน แต่บัดนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
เขาบอกว่า ได้เริ่มต้นเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ตามทฤษฎีเป๊ะทุกอย่าง อ่านหนังสือเยอะมากกว่าธุรกิจที่ลงทุนต้องรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของกิจการ และเลือกในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง จนผ่านมา 2 ปี อัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ดีไม่น้อย โดยปี 2553 ได้ 25% และปี 2554 มากกว่า 10%
“ปี 2553 หุ้นตัวแรกที่เลือกซื้อ คือ บริษัท ค้าเหล็กไทย (TMT) เพราะเป็นสิ่งที่บริษัทมีความคุ้นเคยเนื่องจากตัวเองต้องติดตามสถานการณ์ราคาเหล็กในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเหล็กเป็นต้นทุนสินค้าของบริษัท ขณะที่ TMT ช่วงนั้นมีอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) ไม่แพง และมีการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยประมาณ 5-6%”
“สุรเชษฐ์” บอกว่า หลังได้นำ TMC เข้าตลาดหุ้นแล้วเรียบร้อย ก็เริ่มรู้จักและกล้าที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ มากขึ้น จนปัจจุบันได้ลงทุนในหุ้นในกลุ่มพลังงานอย่าง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เพราะตั้งแต่มีการควบรวมบริษัทมาก็ช่วยเพิ่มอำนาจในการต่อรองราคาขายมากขึ้น ขณะที่แนวโน้มธุรกิจก็มีแต่ทิศทางที่ดีขึ้น ราคาหุ้นก็มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น ยังลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 2 แห่ง คือ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพราะเวลาทำธุรกิจต้องเกี่ยวข้องกับแบงก์อยู่แล้ว ทำให้มองว่าแบงก์ยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีกำไรและผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาก เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว
“สุรเชษฐ์” กล่าวว่า ปัจจุบันเขาลงทุนในหุ้นเพียง|4 ตัว ส่วนหลักในการเลือกหุ้นเขามองว่าแต่ละคนต้องมีสไตล์ ความชอบ และความเข้าใจในธุรกิจในแบบฉบับตัวเอง เช่น กลุ่มที่มองว่าเราจำเป็นต้องกินต้องใช้ แต่ในธุรกิจบางอย่างก็มีรอบการเล่นตามวงจรธุรกิจเหมือนกัน เช่น กลุ่มเหล็กที่มีรอบราคาขึ้น-ลง ซึ่งเขาตั้งเป้าหมายว่าหากได้รับอัตราผลตอบแทนประมาณ 10% ก็จะเริ่มทยอยขายทำกำไรออกไปบ้าง เพื่อกลับเข้าไปซื้ออีกครั้งเมื่อราคาหุ้นเหล็กมีการปรับลง
นอกจากนั้น เขายังแบ่งส่วนที่เป็นเงินสดไว้ด้วย หรือทุกครั้งที่ได้กำไรจากการขายหุ้นก็จะไปฝากประจำกับแบงก์ทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะต้องการรักษาสภาพคล่องการลงทุนของตัวเองที่ยังสามารถได้ดอกเบี้ยมากกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ธรรมดา
ขณะเดียวกัน ได้ลงทุนในกองทุนรวมด้วย ทั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ด้วย เพราะมองเป็นการสะสมระยะยาวไปถึงอายุ 60 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เลือกกองที่ไปลงทุนในทองคำเป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อกระจายความเสี่ยงทางอ้อมด้วย
ปัจจุบันพอร์ตลงทุนแบ่งเป็นหุ้นทั้งหมด 75% กองทุนรวม 10% และเงินสดรวมการฝากประจำอีก 15%
สำหรับผลิตภัณฑ์ในตลาดหุ้นประเภทอื่น “สุรเชษฐ์” มองว่า|ถ้ามีเวลาคงศึกษา แต่ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะ เพราะปกติเวลาจะตัดสินใจทำอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุน เป็นคนที่ต้องมีเวลาและศึกษาอย่างจริงจังก่อน
ขณะที่ทุกวันนี้ก็มีการแบ่งปันข้อมูลกับคนที่รู้จักกันในวงการมากขึ้น สามารถแลกเปลี่ยนภาพกว้างในมุมมองเศรษฐกิจมากกว่าที่จะมาปรึกษาหุ้นรายตัว เนื่องจากมองว่าสไตล์และความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน อีกทั้งจังหวะการตัดสินใจลงทุนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
“ทุกวันนี้ผมมองว่าหุ้นมีขาขึ้นก็ต้องมีขาลง เราต้องทำความเข้าใจ และเข้าใจว่าราคาที่เราซื้อมีความเหมาะสมและพอใจหรือไม่ เพระคงไม่มีใครสามารถซื้อในจุดที่ต่ำสุดและขายในราคาสูงสุดในแต่ละรอบได้ แต่สิ่งสำคัญในการลงทุน คือ การมีวินัยในการงลงทุน”
จากคนออมเงินปกติตามหนทางแบบเดิม และเพิ่งก้าวสู่การเป็นนักลงทุนใหม่ได้ไม่นาน แต่เขา|ก็พอใจกับพอร์ตการลงทุนของเขาที่มีอยู่ในหลัก 10 ล้านบาท และไม่ลืมส่งต่อวิธีการเก็บออมและการลงทุนให้กับลูกทั้งสองคนในวัย 7 ขวบ และ 10 ขวบ
“เด็กๆ สิ่งสำคัญคือ ต้องเริ่มสอนวินัยการเก็บออมก่อน เพราะเชื่อว่าถ้าเราเริ่มต้นมีวินัยการออมแล้ว อนาคตก็จะมีวินัยในการลงทุนได้ ซึ่งล่าสุดเพิ่งพาลูกๆ ไปทำบัตรประชาชน ทำให้เขาสามารถเปิดบัญชีแบงก์ในชื่อเขาได้เองแล้ว และตอนนี้ทั้งสองคนกำลังตื่นเต้นที่แต่ละสัปดาห์และแต่ละเดือนจะเหลือเงินเก็บให้ไปเข้าบัญชี|เท่าไร เพราะเขากำลังสนุกและแข่งกันว่าใครมีตัวเลขในบัญชีที่เยอะกว่ากัน”
จะเห็นได้ว่า “สุรเชษฐ์” มีวินัยต่อการออมอย่างต่อเนื่อง และก็ไม่ปฏิเสธแนวทางการลงทุนเพื่อไปในเส้นทางที่ให้สิ่งที่ดีกว่าเชื่อได้ว่าอนาคตข้างหน้าเขาจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องสวมหมวกสองใบในตลาดหุ้น คือ เป็น|ทั้งผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนและนักลงทุนประเภทคุณค่า


