แฟชั่นทะลักพม่า
ทุกวันนี้คนเมียนมาร์ยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าประจำชาติ ขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศแทบไม่เหลือภาพนี้ให้เห็น ท่ามกลางกระแสตะวันตกที่ไหลบ่าเข้ามาในภูมิภาค
ทุกวันนี้คนเมียนมาร์ยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าประจำชาติ ขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศแทบไม่เหลือภาพนี้ให้เห็น ท่ามกลางกระแสตะวันตกที่ไหลบ่าเข้ามาในภูมิภาค
แต่ดูเหมือนเมียนมาร์ก็กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมายภายหลังการเปิดประเทศ รวมถึงแฟชั่นสมัยใหม่ที่กำลังถาโถมเข้ามาสู่สังคมเมียนมาร์อย่างรวดเร็ว
วัฒนธรรมป๊อป หรือป๊อป คัลเจอร์ กำลังเบ่งบานในประเทศนี้ เพราะผู้คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น เปิดโอกาสให้ชาวเมียนมาร์ได้สัมผัสกับรสนิยมและเทรนด์ใหม่ๆ จากต่างประเทศ เห็นได้จากเมื่อปีก่อนยังไม่ค่อยมีใครสวมกางเกงยีนส์ หรือกระโปรงสั้นเหนือเข่า ทว่าตอนนี้สถานที่สุดฮิตของชาวเมียนมาร์อย่างศูนย์การค้าจังค์ชัน สแควร์ ที่ใหญ่และใหม่สุดในย่างกุ้ง กลับเต็มไปด้วยวัยรุ่นที่สวมเสื้อผ้าแบบนี้ จนแทบแยกแยะไม่ออกว่าเป็นย่านวัยรุ่นแถวไหนในเอเชีย
กระแสป๊อปเกาหลี หรือเคป๊อปที่แพร่หลายในทั่วภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก ตั้งแต่ชุดเดรสสั้นประดับเลื่อมแวววาว ไปจนถึงเสื้อยืดพิมพ์ภาพกราฟฟิกเก๋ๆ พบเห็นได้ตามร้านเสื้อผ้าในท้องถิ่นที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผิดกับร้านขายเสื้อผ้าประจำชาติ ที่ม้วนผ้าสีสันสดใสยังวางรอลูกค้ามาสั่งตัดชุดประจำชาติที่เรียกว่า “ลองยี”
คลื่นวัฒนธรรมย่อยๆ ก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน เดือน ก.พ.ที่ผ่านมามีงานนิทรรศการกราฟฟิตีระหว่างประเทศจัดที่เมียนมาร์ โดยพูดคุยเกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้และพื้นผิวภายนอก ซึ่งคนรุ่นใหม่ในย่างกุ้งผสมผสานสิ่งเหล่านี้ผ่านรองเท้าสเกต กางเกงยีนส์ตัวหลวมโคร่ง ไปจนถึงทรงผมซอยสั้นพร้อมหน้าม้าปัดเฉียง วัยรุ่นเหล่านี้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆ ที่แต่งตัวอินเทรนด์ และนิยมกิจกรรมวาดภาพกราฟฟิตี
แม้แต่กลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมาร์ ความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมาเยือน ผ่านสีสันและวัสดุที่ใช้ตกแต่งเสื้อผ้าดั้งเดิม แต่เนื่องจากเครื่องแต่งกายมักสะท้อนอัตลักษณ์ในสังคมของผู้สวมใส่ กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้จึงยังไม่เลิกสวมเครื่องแต่งกายของตนเอง
อาจเรียกได้ว่า โลกแห่งแฟชั่นมาเยือนเมียนมาร์รวดเร็วที่สุด เพราะหลังจากรัฐบาลสหรัฐยกเลิกการคว่ำบาตรเมียนมาร์ในปีที่แล้ว ตัวแทนจากแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอย่าง แก๊ป ฮิวโก บอส และมาร์ก แอนด์ สเปนเซอร์ ต่างก็แห่ไปเยือนเมียนมาร์เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจในดินแดนแห่งนี้ ทั้งการตั้งฐานผลิต “เมดอินเมียนมาร์” พร้อมๆ กับมองเมียนมาร์ในฐานะลูกค้าใหม่
เชนเสื้อผ้าชื่อดัง “บอสสินี” ก็เพิ่งเปิดตัวในเมียนมาร์ เช่นเดียวกับเชนเสื้อผ้าจากสเปน “แมงโก” ที่ดิ้นหนีภาวะถดถอยในบ้านได้สำเร็จในปีที่แล้ว โดยส่วนสำคัญมาจากตลาดเกิดใหม่อย่างปากีสถาน และเมียนมาร์ ทั้งนี้ แมงโกเปิดสาขาแรกในกรุงย่างกุ้งเมื่อเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว และมีข่าวแว่วว่าแบรนด์สเปนยักษ์ใหญ่อย่าง “ซารา” ก็เตรียมจะมาลงหลักปักฐานในตลาดนี้เช่นกัน
“คริสตินา ซัลวัลโด เอสปอต” โฆษกของแมงโก บอกว่า แมงโกเข้ามาบุกเบิกอุตสาหกรรมแฟชั่นในเมียนมาร์ เพราะมองเห็นโอกาสที่ดี และบริษัทต้องปรับตัวให้เข้ากับแต่ละตลาดในแต่ละช่วงเวลา โดยไม่ลืมคอนเซปต์หลักของแบรนด์
แม้จะมีการปรับเปลี่ยนต่างๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการไหลบ่าของกระแสตะวันตกย่อมส่งผลต่อเมียนมาร์ที่เพิ่งเปิดประเทศ “ฮาเซล คลาร์ก” อาจารย์ด้านแฟชั่นจากพาร์สัน เดอะ นิว สกูล ฟอร์ ดีไซน์ มองว่า ผลกระทบสำหรับเมียนมาร์อาจเป็นเรื่องของมูลค่าของเครื่องแต่งกายประจำชาติและทักษะของการตัดเย็บท้องถิ่นที่อาจลดทอนลง เพราะคนในท้องถิ่นก็อาจมองหาเสื้อผ้าที่ทันสมัยและแฟชั่นจ๋า
ความท้าทายสำคัญจึงน่าจะอยู่ที่การรักษาและให้ความสำคัญกับผ้าไหมดั้งเดิม ซึ่งในกระบวนการพัฒนาประเทศอาจมุ่งเน้นที่การส่งออกและผู้บริโภคต่างประเทศมากขึ้น


