"รัตนรักษ์"...มีแต่ได้
โดย...เบญจมาศ เลิศไพบูลย์
โดย...เบญจมาศ เลิศไพบูลย์
การยื่นหนังสือลาออกของ มาร์ค จอห์น อาร์โนลด์ ซีอีโอธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 ม.ค. 2556 พร้อมๆ กับเจตจำนงในการขายหุ้นที่ถืออยู่ 25% เศษของกลุ่มจีอี เพื่อนำเงินกลับ
ทำให้ทิศทางการทำงานของธนาคารกรุงศรีอยุธยา กลับตกมาอยู่กับ “กฤตย์ รัตนรักษ์” อีกครั้ง ในฐานะเจ้าของธนาคารกรุงศรีอยุธยาตัวจริง
แน่นอนว่า นาทีนี้กลุ่ม “รัตนรักษ์” มีแต่ได้กับได้แบบสองเด้งยิ่งกว่าผลิตภัณฑ์เงินฝากด้วยซ้ำ
เพราะหากย้อนประวัติศาสตร์ธุรกิจธนาคารกรุงศรีฯ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2549 ที่กลุ่มจีอีได้แจ้งความจำนงเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญใหม่ในธนาคาร 2,000 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 16 บาท สัดส่วนลงทุน 25%
20 ก.ย. 2549 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติให้รับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของธนาคารจีอี มันนี่ เพื่อรายย่อย ประกอบด้วยเงินฝากทั้งหมด สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อเพิ่มขนาดสินทรัพย์
ปี 2552 ธนาคารได้เข้าซื้อธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย และบริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) ทำให้ธนาคารมีขนาดสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 3.28 หมื่นล้านบาท สินเชื่อเพิ่มขึ้น 2.19 หมื่นล้านบาท เงินฝากเพิ่มขึ้น 1.86 หมื่นล้านบาท และฐานบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 2.22 แสนบัตร
9 ก.ย. 2552 ธนาคารเข้าซื้อกิจการบริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิสเซส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ และโอนกิจการมายังธนาคาร จนขึ้นชั้นเบอร์หนึ่งผู้ให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถในชื่อ “ศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ”
5 พ.ย. 2552 ได้เข้าซื้อจีอี มันนี่ ประเทศไทย และโอนสินทรัพย์ทั้งหมดภายใต้แบรนด์สินเชื่อส่วนบุคคล “เฟิร์สช้อยส์” มีสินทรัพย์รวม 53,751 ล้านบาท และสินเชื่อรวม 45,829 ล้านบาท จนมีบัตรเครดิตกว่า 5 ล้านบัตร
ล่าสุดเดือน ม.ค. 2555 ได้ซื้อธุรกิจสินเชื่อรายย่อยทั้งหมดจากธนาคารเอชเอสบีซีในไทย คิดเป็นมูลค่า 3,557 ล้านบาท ซึ่งได้ทั้งสินทรัพย์ 17,452 ล้านบาท และหนี้สิน 17,452 ล้านบาท
ไม่เพียงการซื้อดะเมื่อสบช่องเจอของดีราคาถูก จีอีได้วางขุมกำลังภายในให้กับธนาคารกรุงศรีฯ มีการปรับจัดทัพผู้บริหารใหม่ เพิ่มน้ำหนักธุรกิจลูกค้ารายย่อยและเดินหน้าตรง จนวันนี้ธนาคารกรุงศรีฯ ผงาดขึ้นมาอยู่ในแถวหน้า
จีอีได้ปูทางธนาคารกรุงศรีฯ ให้แน่นปึ้ก จนก้าวพรวดขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ของประเทศ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนจากตัวเลขผลการดำเนินงานจากปี 2548 ก่อนจีอีจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สินทรัพย์แค่ 647,371 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อรวม 453,120 ล้านบาท เงินกองทุน 52,611 ล้านบาท
ปัจจุบัน สินทรัพย์ธนาคารไต่ขึ้นมาอยู่ที่ 947,797 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อรวม 719,507 ล้านบาท เงินกองทุนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 111,122 ล้านบาท
เรียกได้ว่า ธนาคารขยายขนาดอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 6 ปี ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคือเงินกองทุนรวมเพิ่มถึง 111% สินเชื่อเพิ่ม 59%
แต่ก็สุดความคาดหมายใครจะล่วงรู้ได้ จีอีขอล้างมือในอ่างทองคำ เตรียมขายหุ้นโกยเงินกลับสหรัฐช่วยบริษัทแม่ โดยทยอยขายหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารออกไปเมื่อปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ประมาณ 7.6% ของหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารทั้งหมด 32.93% และจะขายหุ้นส่วนที่เหลืออยู่ในธนาคารประมาณ 25% ไม่นานนี้
การเฉือนหุ้นที่ถืออยู่ของจีอีขายออกไปบางส่วน ทำให้สถานการณ์ได้พลิกกลับ โอกาสตกอยู่ในกลุ่มรัตนรักษ์ เจ้าของรายเก่ากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 30%
ล่าสุดเจ้าของตัวจริงคือกลุ่ม “รัตนรักษ์” พยายามส่งสัญญาณไปยังคณะกรรมการธนาคารเมื่อไม่นานมานี้ และสัญญาณนั้นทำให้คนที่กำลังดูหมากธุรกิจระดับหมื่นล้านเกมนี้อยู่ชนิดที่ต้องจับจ้องแบบตาไม่กะพริบ
เพราะข้อความที่ส่งออกไปยังพนักงานนั้น เนื้อความสะท้อนความหมายว่า “กลุ่มรัตนรักษ์ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารทั้งสิ้น 30% คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าหุ้นที่กลุ่มจีอีถืออยู่ในขณะนี้ ไม่มีท่าทีจะปรับลดอัตราการถือครองหุ้นในธนาคารลง และการขายหุ้นธนาคารของจีอี จะไม่ส่งผลกระทบในเชิงกลยุทธ์การบริหารของธนาคาร เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มรัตนรักษ์”
ข้อความยังตอกย้ำอีกว่า ธนาคารก่อตั้งในปี 2488 โดย “ชวน รัตนรักษ์” การบริหารงานกว่า 60 ปี ก็ยังมี “กฤตย์ รัตนรักษ์” เป็นผู้บริหารหลัก วันนี้การเข้ามาของจีอีได้ส่งผลในทางบวกต่อฐานะการเงินของธนาคาร โดยมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งจากการเพิ่มทุนและการสนับสนุนการดำเนินงานโดยจีอี
นอกจากนี้ สัญญาณที่ส่งผ่านคณะกรรมการธนาคารยังระบุถึงความพยายามรักษาธนาคารให้ยังคงความเป็นสัญชาติไทย
แม้ท้ายที่สุดจีอีจะขายหุ้นของธนาคารที่ถืออยู่ทั้งหมด 25% แต่ความเสี่ยงที่ธนาคารไทยที่มีคนไทยเป็นเจ้าของจะถูกควบรวมโดยเงินทุนต่างชาติ จะขึ้นอยู่กับการรักษาเสถียรภาพในอัตราการถือครองหุ้นของธนาคารในกลุ่มรัตนรักษ์เท่านั้น
“หากกลุ่มรัตนรักษ์ยังคงการถือครองหุ้นไว้ดังเดิม ธนาคารกรุงศรีฯ ก็จะยังคงรักษาสถานภาพการเป็นธนาคารที่มีคนไทยเป็นเจ้าของได้ต่อไป และเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในความเข้มแข็งของสถาบันการเงินไทยว่ามีศักยภาพเพียงพอ และพร้อมรับมือกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558”
ดังนั้น แม้จีอีจะขายหุ้น 25% แต่ในที่สุดแล้วจะเป็นรูปแบบการเปลี่ยนผู้ร่วมทุนจากจีอีไปเป็นพันธมิตรใหม่ โดยแนวทางและยุทธศาสตร์ในการเจริญเติบโตของธนาคารยังเป็นไปตามที่กลุ่มรัตนรักษ์วางไว้เหมือนเดิม
กลุ่มรัตนรักษ์ได้ย้อนไปถึงความยากลำบากในการดูแลรักษาธนาคารช่วงปี 2540 ด้วยว่า สถาบันการเงินไทยหลายแห่งถูกต่างชาติเข้าซื้อกิจการและสูญเสียสถานภาพการเป็นสถาบันการเงินของคนไทยไป แต่ กฤตย์ กลับพาธนาคารกรุงศรีฯ ให้ฝ่าวิกฤตไปได้ โดยยังเป็นธนาคารของคนไทย ซึ่งนั่นหมายถึงต้นทุนจำนวนมหาศาล กลุ่มรัตนรักษ์จึงมีแนวโน้มคงอัตราการถือครองหุ้นของธนาคารไว้
แม้จีอีจะจากไป แต่วินาทีนี้คนที่ถูกหวยคือตระกูลรัตนรักษ์
และเป็นสัญญาณแจ่มชัดว่า “เศรษฐีกฤตย์” กำลังกลับมาทวงแบงก์คืน
ไม่ว่าจีอีจะขายหุ้นธนาคารกรุงศรีฯ ที่ถืออยู่ออกไปให้ใครและขายได้หรือไม่ แต่กลุ่มรัตนรักษ์มีแต่ได้กับได้
ลำพังแค่การคิดกำไรจากตัวเลขที่กลุ่มจีอีเข้ามาซื้อหุ้นตั้งแต่ปี 2549 ในราคา 16 บาทต่อหุ้น สัดส่วนรวม 32.9% มูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท
5 ปีที่ผ่านมานั้น จีอีกินเงินปันผลไปแล้ว 4,600 ล้านบาท หากขายหุ้นออกไปในราคา 35.25 บาท ก็จะมีกำไรอีก 3.4 หมื่นล้านบาท
คนในตระกูลรัตนรักษ์ก็รับส่วนต่างของกำไรไปไม่น้อยเช่นกัน


