บิวตี้ คอมมูนิตี้ เครื่องสำอางแบรนด์ไทยบุกตลาด
บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ภายใต้การบริหารของ “สุวิน ไกรภูเบศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
โดย...เจียรนัย อุตมะ
บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ภายใต้การบริหารของ “สุวิน ไกรภูเบศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อยู่ระหว่างการเตรียมสำรวจราคาจากนักลงทุนสถาบัน (บุ๊กบิลดิ้งส์) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายหุ้นทั้งหมด 82.5 ล้านหุ้น โดยเรียกชำระหุ้นเพิ่มทุนจาก 517.50 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ ก่อนนำหุ้นเข้าจดทะเบียนหมวดพาณิชย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลางเดือน ธ.ค.
การเพิ่มทุนครั้งนี้แบ่งเป็น 80 ล้านหุ้น ขายประชาชน และ 2.5 ล้านหุ้น เสนอขายผู้บริหารและพนักงานบริษัท
ภายหลังการเพิ่มทุนกลุ่มไกรภูเบศยังถือหุ้นใหญ่ 70.8% เทียบหุ้นที่ถือในมือรายย่อย 27.5%
ทั้งนี้ เพื่อนำเงินไปขยายสาขาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ลงทุนปรับปรุงระบบการดำเนินงานภายใน รองรับการขยายธุรกิจในอนาคตและใช้เป็นทุนหมุนเวียน
“วิชา โตมานะ” กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ เปิดเผยว่า จากช่วงราคา 7.5-8.5 บาท ซึ่งจะได้เงินระดมทุนประมาณ 600-700 ล้านบาท
ทั้งนี้ ช่วงราคาที่กำหนดคิดจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสติดกันเทียบเป็นสัดส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) 15-17 เท่า ถือมีส่วนลดจาก พี/อี ของหุ้นที่ประกอบธุรกิจเดียวกันที่ 23 เท่า หรือ พี/อี เฉลี่ยกลุ่มพาณิชย์ที่ 30 เท่า ซึ่งหุ้นทั้งหมดจะเสนอขายทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน แต่จะกำหนดสัดส่วนได้หลังมีการบุ๊กบิวแล้ว
อย่างไรก็ดี เพื่อให้จำนวนหุ้นไอพีโอเข้าถึงรายย่อยและขยายฐานลูกค้าได้มากที่สุด แต่จะมีการสุ่มเลือก (แรนดอม) ผู้ได้รับการจองซื้อหุ้นไอพีโอ BEAUTY ถ้ามี จำนวนเงินในบัญชีหรือมีการเปิดบัญชีการซื้อขายหลักทรัพย์กับ บล.ฟิลลิป
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในตลาดให้ราคาเหมาะสมหุ้นนี้ปี 2556 ไว้ที่หุ้นละ 13.70-15.60 บาท ทั้งนี้ราคาต่ำสุด 13.70 บาท คิดจาก พี/อี ที่ 18 เท่าใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก
นักวิเคราะห์อีกราย ให้ราคาที่เหมาะสม 14-15.60 บาท อิง พี/อี ที่ 1820 เท่า เพราะเชื่อว่าหุ้นนี้เป็นหุ้นเติบโตสูงจากอัตราการขยายตัวของผลกำไรในระดับสูงต่อเนื่อง
การเข้าจดทะเบียนครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้ขยายสาขาได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำให้มีความพร้อมด้านคนและคลังสินค้า โดยประมาณการกำไรปี 2555-2557 ขยายตัวเฉลี่ย 28.6% ต่อปี
การเพิ่มทุนครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้หมดกังวลเรื่องเพิ่มทุนอย่างน้อย 2-3 ปี ที่ทำให้มีโอกาสที่บริษัทจะจ่ายปันผลสูงกว่าระดับขั้นต่ำที่ 50% ของกำไรสุทธิ
นพ.สุวิน กล่าวว่า เป้ารายได้ในปี 2556 ก็อยู่ในการเติบโตเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ที่จะโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีนี้ โดยส่วนของกำไรบริษัทจะพยายามรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ 70% ซึ่งใกล้เคียงกับปัจจุบัน และอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 20% กว่า ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามที่ตั้งเป้าไว้
BEAUTY มีประสบการณ์ในธุรกิจมากว่า 12 ปี เป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวที่มีแบรนด์หลากหลายในการจับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย โดยมีช่องทางจัดจำหน่ายและสาขาที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และยังรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับสูงใกล้ 70% ในขณะที่มูลค่าของตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลบวกต่อธุรกิจของบริษัท
สำหรับการแข่งขันในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในไทยนับว่ารุนแรง โดยมีทั้งแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศและของไทย โดย BEAUTY แข่งขันโดยตรงกับกลุ่มที่จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกที่มีผู้ประกอบการ 8 ราย หรือ 80% ของยอดขาย BEAUTY เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับ 3 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 7.7% รองจากโอเรียนทอล พริ้นเซส 35.5% และคิวท์ เพรส 12.7%
แนวโน้มที่จะมีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ของไทยในปี 2558 คาดว่าจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการไทยจากการขยายฐานการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่ม โดยมีเป้าหมายตลาดระดับกลาง
บริษัทมีแผนขยายสาขาของ BEAUTY Buffet และ BEAUTY Cottage ทั่วประเทศเพื่อกระจายสินค้าให้มากขึ้น โดยสิ้นปี 2556 คาดว่าจะมีสาขาของทั้งสองแบรนด์จำนวน 180 แห่ง และ 50 แห่ง ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจาก 133 แห่ง และ 26 แห่ง ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2555
ปัจจุบันมีการเปิดสาขา BEAUTY Buffet แล้วที่กัมพูชาและจะขยายสาขาเพิ่มในปี 2556 ในระบบแฟรนไชส์รวมถึงอยู่ระหว่างศึกษาตลาดในอาเซียน
สำหรับปัจจัยเสี่ยงของหุ้นนี้คือ ประการแรก การพึ่งพิงแบรนด์ BEAUTY Buffet เป็นหลัก โดยครึ่งแรกปีนี้ 89.3% ของยอดขายรวม แต่การขยายสาขาของ BEAUTY Cottage และ Made in Nature คาดทำให้รายได้กระจายตัวมากขึ้น
ประการที่สอง การพึ่งพิงผู้ผลิตสินค้าซึ่งอาจส่งผลให้มีการขาดแคลนการผลิตรวมถึงการลอกเลียนแบบสินค้า อย่างไรก็ตามคาดเห็นผลกระทบไม่รุนแรง เนื่องจากบริษัทมีผลิตภัณฑ์กว่า 1,100 รายการและจำนวนผู้ผลิตกว่า 20 ราย
ประการที่สาม การด้อยค่าของสินค้าคงคลังจากวงจรของผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามกระแสแฟชั่น ทั้งนี้ในช่วงปี 2556ครึ่งแรกปีนี้อัตราการด้อยค่าอยู่ที่ 3.96.1% ของสินค้าคงคลัง โดยบริษัทมีความสามารถในการบริหารค่อนข้างดี
ประการที่สี่ ผู้บริหารใหญ่ถือหุ้น 70.8% ทำให้สามารถควบคุมมติส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้


