ขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอ?
ถ้ายังไม่ปลอดหนี้ก็อย่าไปมีทรัพย์สินเพิ่มเติม เพราะหนี้เดิมท่านยังมีหน้าที่ต้องหาเงินมาชำระหนี้ตามกฎหมายอยู่ภายใน 10 ปี
ถ้ายังไม่ปลอดหนี้ก็อย่าไปมีทรัพย์สินเพิ่มเติม เพราะหนี้เดิมท่านยังมีหน้าที่ต้องหาเงินมาชำระหนี้ตามกฎหมายอยู่ภายใน 10 ปี
สวัสดีครับ หลังจากทนายคลายทุกข์ได้นำเสนอเรื่องความทุกข์ของคนกู้เงินซื้อบ้าน ซื้อรถ ซึ่งไม่สามารถผ่อนค่างวด ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าซื้อหรือค่างวดผ่อนบ้าน และปล่อยปละละเลยไม่สนใจ ต่อมาธนาคารหรือสถาบันการเงินเจ้าหนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องร้องต่อศาล แล้วถูกยึดทรัพย์บังคับคดีปรากฏว่ามีผู้สอบถามมาจำนวนมากจึงขออธิบายต่อไป
เรื่องแบบนี้ลูกหนี้ก็มักจะไม่สนใจ เนื่องจากมองว่าไปศาลก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีเงินจะจ้างทนายต่อสู้คดี ไม่มีทรัพย์สินหรือรายได้เพียงพอที่จะชำระให้กับเจ้าหนี้หรือตกงาน หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงไม่สนใจคดีที่ศาล
ต่อมาหลายปีผ่านมา เป็นปีที่ 9 หรือใกล้ครบ 10 ปี ฐานะทางการเงินของลูกหนี้เปลี่ยนไป เช่น อาจถูกหวย หรือรวยขึ้น หรือกิจการค้าดี หรือมีงานทำที่มีรายได้สูง หรือมีคู่สมรสใหม่มีฐานะทางการเงิน ซึ่งได้ไปเช่าซื้อรถหรือไปซื้อบ้านหรือทำธุรกิจหรือมีเงินฝากในธนาคาร
เจ้าหนี้จะจ้างบริษัททวงหนี้หรือนักสืบ ทำการสืบหาทรัพย์สินที่เป็นของลูกหนี้ทุกชนิด หากพบทรัพย์สินของลูกหนี้ ลูกหนี้จะต้องถูกยึดทรัพย์หรืออายัดเงินเดือน/สิทธิเรียกร้อง
ปัจจุบันนี้ มีคดีลักษณะแบบนี้เป็นจำนวนมาก จนเดือดร้อนไปทั่ว
ดังนั้น หากลูกหนี้รายใดเป็นหนี้สถาบันการเงิน ติดหนี้ค่าเช่าซื้อรถหรือค่างวดบ้าน ถ้าเป็นคดีแล้วหากต้องการจะมีทรัพย์สินขึ้นมาใหม่ ต้องว่าจ้างทนายเข้าไปเคลียร์หนี้เดิมให้จบก่อน
หรือที่ภาษาทางการเงินเรียกว่า ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน และธนาคารจะออกหนังสือปลอดหนี้ให้
ถ้ายังไม่ปลอดหนี้ก็อย่าไปมีทรัพย์สินเพิ่มเติม เพราะหนี้เดิมท่านยังมีหน้าที่ต้องหาเงินมาชำระหนี้ตามกฎหมายอยู่ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลูกหนี้ชำระหนี้
ผมเข้าใจในความรู้สึกของเจ้าหนี้ที่ต้องไล่ล่าหาทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาชำระหนี้ ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหนี้
ในทางกลับกันลูกหนี้มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้ครบถ้วน ถ้าลูกหนี้ต้องการลดหนี้ต้องแต่งตั้งตัวแทนไปประนอมหนี้หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แล้วเสร็จ
อย่าปล่อยปละละเลย มิฉะนั้นอาจถูกยึดทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งมีหลายคดีที่ต้องมานั่งร้องไห้ร้องห่มที่สำนักงานทนายคลายทุกข์
ผมมีตัวอย่างของกฎหมายประกอบให้พิจารณากัน โดยตัวบทกฎหมายอ้างอิง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การทวงหนี้ต้องกระทำโดยสุจริตห้ามข่มขู่หรือประจานหรือสร้างความเดือดร้อนเกินเหตุให้กับลูกหนี้
มาตรา 5 ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต
ขณะที่พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551
มาตรา 12 ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังมีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ระยะเวลาในการยึดหรืออายัดทรัพย์ลูกหนี้หลังคำพิพากษาถึงที่สุด
มาตรา 271 ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
เจ้าหนี้มีสิทธิยึด/อายัดทรัพย์/สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้จนกว่าจะครบจำนวนหนี้แต่ห้ามยึดเกินหนี้
มาตรา 284 เว้นแต่จะได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ หรือศาลจะได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่นห้ามไม่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดีและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี อนึ่งถ้าได้เงินมาพอจำนวนที่จะชำระหนี้แล้ว ห้ามไม่ให้เอาทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดออกขายทอดตลาดหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่น
ความรับผิดต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือต่อบุคคลภายนอกเพื่อความเสียหายถ้าหากมี อันเกิดจากการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบหรือยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีนั้น ย่อมไม่ตกแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ตกอยู่แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
เว้นแต่ในกรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
รู้แบบนี้แล้วท่านต้องใส่ใจในเรื่องของการเป็นหนี้กันนะครับ จะได้ไม่เกิดปัญหา


