posttoday

"Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้น" ภาวะตลาดตราสารหนี้ (12-16 พ.ย. 2555)

20 พฤศจิกายน 2555

ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ในสัปดาห์นี้ (5 วันทำการ) มีมูลค่ารวม 376,777 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 75,355 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประมาณ 3% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 73% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 274,012 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน)

ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ในสัปดาห์นี้ (5 วันทำการ) มีมูลค่ารวม 376,777 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 75,355 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประมาณ 3% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 73% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 274,012 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน)

พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 76,495 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 8,879 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก คือ รุ่น LB236A (อายุ 10.6 ปี) LB176A (อายุ 4.8 ปี) และ LB21DA (อายุ 9.1 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 14,149 ล้านบาท 12,128 ล้านบาท และ 9,197 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ รุ่น CB12D04A (อายุ 14 วัน) CB13214B (อายุ 91 วัน) และ BOT157A (อายุ 3 ปี) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 45,011 ล้านบาท 20,785 ล้านบาท และ 20,498 ล้านบาท ตามลำดับ

ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) (TLT138A (AAA)) มูลค่าการซื้อขาย 824 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท บ้านปู (BANPU225A (AA)) มูลค่าการซื้อขาย 694 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย (THAI13OA (A+)) มูลค่าการซื้อขาย 617 ล้านบาท ตามลำดับ

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งเส้น ในช่วง +1 ถึง +11 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยในต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับ Fiscal Cliff ของสหรัฐ ที่จะมีผลโดยตรงต่อความถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ

ความกังวลดังกล่าวมีผลทำให้นักลงทุนบางส่วนปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนโดยโยกเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและตราสารหนี้ระยะยาว เข้าสู่สินทรัพย์ประเภท Safe Haven อย่างเช่นตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้น เพื่อรอความชัดเจนของสหรัฐในการแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ที่กำลังจะเกิดขึ้น

นอกจากนี้แล้ว อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากปัจจัยด้านอุปทาน (Supply) ของพันธบัตรรัฐบาล ที่กระทรวงการคลังออกประมูลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในปริมาณที่ค่อนข้างสูง (2.3 หมื่นล้านบาท) ปริมาณการออกพันธบัตรใหม่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผลทำให้อัตราผลตอบแทนขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาบ้างด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิในตราสารหนี้ทุกประเภทรวมกัน (ทั้งระยะสั้นและระยะยาว) 5,769 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิถึง 12,895 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อย (Individual) มียอดขายสุทธิ 49 ล้านบาท

ข่าวล่าสุด

สนง.สลากฯ ชูยุทธศาสตร์ปี 69 ลดสลากใบ เพิ่มสลากดิจิทัล–N3 คุมสมดุลตลาด