posttoday

ผ่าแนวคิด "มูจิ" แบรนด์แห่งความพอเพียง

13 ตุลาคม 2555

โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล

โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล

กลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ MUJI (มูจิ) ถือกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2523 (ค.ศ. 1980) ด้วยแนวคิดแบรนด์ MUJI ที่ย่อมาจากคำภาษาญี่ปุ่น Mujirushi Ryohin แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า No Brand, Good Product เนื่องจากการวางภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ที่ชัดเจน ด้วยคอนเซปต์ความเรียบง่าย...ดูดี...มีรสนิยม จนเป็นที่รับรู้ในกลุ่มสาวกมูจิ ว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของมูจินั้นจะไม่มีแบรนด์ติดอยู่ที่ตัวสินค้าเลย...

จนถึงปัจจุบัน “มูจิ” มีจำนวนสาขากระจายอยู่ทั้งสิ้น 535 แห่งทั่วโลก โดยมี 163 สาขาในต่างประเทศ แบ่งเป็นเอเชีย 105 แห่ง ยุโรป 54 แห่ง และสหรัฐ 4 แห่ง

ขณะที่ในประเทศญี่ปุ่นเอง มูจิขยับขยายสาขาแล้ว 372 สาขา และแบรนด์มูจิได้เข้ามาเปิดให้บริการสาขาแรกในไทยในปี 2549 โดยสาขาแรกได้เลือกทำเลของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม และขยายเพิ่มเป็น 9 สาขาในปัจจุบัน

แบรนด์มูจิถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจในประเทศไทย ซึ่งล่าสุด ซาโตรุ มัทสึมากิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียวฮินเคคาขุ ผู้บริหารแบรนด์มูจิ จากประเทศญี่ปุ่น ได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมกิจการร้านมูจิในไทย

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมเปิดนิทรรศการ “เซ็นทรัล พรีเซนต์ มูจิโปรดักส์ ฟิตเนส 80 เอ็กซิบิชัน” เพื่อสะท้อนถึงการออกแบบหลากหลายผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด “ลดการใช้ ลดการผลิต เหลือเพียงร้อยละ 80 อย่างสร้างสรรค์” พร้อมด้วย นาโอตะ ฟุคุซาวา นักออกแบบมาร่วมถ่ายทอดแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์มูจิ

ในโอกาสนี้ ยังเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ที่ มัทสึมากิ เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนไทยร่วมสัมภาษณ์ถึงแนวคิดการทำตลาดผลิตภัณฑ์มูจิ ที่ยึดหลักความเรียบง่ายของผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับธรรมชาติ ภายใต้ความเชื่อมั่นที่ว่า หากผลิตภัณฑ์ดีก็จะสามารถขายได้ด้วยตัวเองไม่ใช่แบรนด์

สำหรับแผนการทำตลาดร้านมูจิในประเทศไทยปี 2556 นี้ วางแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 12 แห่ง โดยเน้นเปิดในทำเลที่มีศักยภาพและอยู่ในห้างสรรพสินค้า จากปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการรวม 9 สาขา พร้อมมีแผนปรับลดราคาสินค้าลงประมาณ 15-20% ในกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่นเพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้ปรับแผนการขนส่งสินค้าใหม่ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาการจัดส่งสินค้าโดยตรงจากโรงงานในประเทศจีนมายังไทย

“แนวทางดังกล่าว จะทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนจากการขนส่งได้ จากปัจจุบันใช้วิธีการขนส่งสินค้าจากโรงงานในจีนไปยังประเทศญี่ปุ่นก่อนจะส่งมาไทย ทำให้มีต้นทุนสูง” มัทสึมากิ กล่าว

แนวทางดังกล่าว ยังส่งผลดีต่อเวลาการส่งสินค้าด้วย ซึ่งจะทำให้สินค้ามาถึงไทยในเวลาเพียง 7 วัน จากเดิมใช้เวลาขนส่งนานถึง 20 วัน รวมทั้งมีแผนขยายกลุ่มสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มอาหารขนมและกลุ่มเครื่องสำอาง สินค้าเพื่อความงาม ขณะที่มูจิในประเทศไทยยังมีแผนเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มเสื้อผ้าไซส์ใหญ่เข้ามาจำหน่ายมากขึ้นด้วย เพื่อช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น

ขณะนี้ร้านมูจิในประเทศไทยมีกลุ่มสินค้าวางจำหน่ายราว 4,000 รายการ ส่วนมูจิในประเทศญี่ปุ่นมีกลุ่มสินค้ารวมกว่า 7,000 รายการ ซึ่งครอบคลุมในทุกกลุ่มสินค้าทั้งเสื้อผ้า ของตกแต่งบ้าน อาหารขนม เครื่องสำอาง เครื่องเขียน เป็นต้น

มัทสึมากิ ให้ความเห็นถึงกรณีที่มีเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์เนมต่างๆ จากต่างประเทศ เข้ามาทำตลาดในไทยเป็นจำนวนมากในขณะนี้ว่า บริษัทมองว่าไม่มีผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากปัจจุบัน “มูจิ” มีสินค้ากลุ่มต่างๆ ที่ครอบคลุมการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคดังที่กล่าวข้างต้นอยู่แล้ว ต่างกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมใดแบรนด์หนึ่ง ขณะเดียวกันยอมรับว่าส่งผลให้มูจิมีทั้งคู่แข่งทางตรงและทางอ้อม เช่น กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของอีเกีย หรือเครื่องสำอางแบรนด์ต่างๆ ที่มูจิก็มีสินค้ากลุ่มนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์แบรนด์มูจิทุกรายการมีจุดเด่นที่แตกต่างหรือเป็นเอกลักษณ์ คือ เน้นรูปแบบแบรนด์ที่เป็นธรรมชาติ (เนเชอรัล) ซึ่งไม่ได้เน้นความเป็นแฟชั่นสีสัน (คัลเลอร์ฟูล) สอดคล้องกับที่แบรนด์มูจิเองก็ไม่ต้องการเพิ่มสีสันให้แก่ธรรมชาติ เนื่องจากวัตถุดิบของบริษัทจะมาจากธรรมชาติ100% ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญของแบรนด์ที่ลูกค้ารับรู้และพึงพอใจ

นอกจากนี้ แบรนด์มูจิยังให้ความสำคัญกับความพอดีที่อยู่ในชีวิตประจำวันรอบตัวด้วย ที่ถ่ายทอดออกมายังนิทรรศการดังกล่าวที่เปิดให้ชมในขณะนี้ (วันนี้-22 ต.ค. 2555) ตามสุภาษิตญี่ปุ่นโบราณกล่าวไว้ว่า “กินแต่พอดี...แล้วจะไม่ต้องไปหาหมอ” ซึ่งมีความหมายว่าให้กินแต่พอประมาณ หรือให้หยุดกินก่อนที่จะรู้สึกอิ่มเกินไปจะดีต่อสุขภาพ

ความหมายลึกๆ ของสุภาษิตดังกล่าว สอนให้นึกถึงปัจจัยสำคัญในการมีชีวิตที่มีคุณภาพ กล่าวคือ การกินในจำนวนที่พอดี หรือเหมาะสม ที่ซ่อนนัยถึงการรู้จักยับยั้งชั่งใจไว้อีกด้วย ซึ่งถ้าเราลดระดับความพอดีของเราลง จากเต็มร้อยเหลือประมาณ 80 แทนที่จะใช้ชีวิตแบบไร้สุขเพราะต้องคอยควบคุมตัวเองมากเกินไป เราจะมีชีวิตที่มีความสุขสมดุล และแข็งแรง

มูจิ ยังได้ค้นหาจุดยืนของความพอเพียงด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองวัตถุประสงค์ของการใช้งานอย่างพอเหมาะพอเพียง ซึ่งคำว่าหัตถศิลป์ในภาษาญี่ปุ่น คือ “โมโนซุคุริ” พร้อมใส่คำดังกล่าวลงในหัวใจของผลิตภัณฑ์มูจิด้วย ที่ไม่ได้หวังแค่ผลิตสินค้าที่เหมาะสม หากตั้งใจผลิตสินค้าที่ซึมซับความเป็นหัตถศิลป์เอาไว้ด้วย

ขณะเดียวกันยังยอมเลือกวิถีทางที่พอดีและเรียบง่าย ด้วยการตั้งคำถามอยู่เสมอว่า จำเป็นแล้วหรือยังหรือมากเกินไปหรือไม่ หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ชาวญี่ปุ่นหันกลับมามองชีวิตของตน สิ่งที่หลงเหลือหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ให้หันมาตระหนักในสิ่งที่มองข้ามไปด้วย

สำหรับแนวทางการทำตลาดของมูจิในไทยนั้น บริษัทได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่บริษัทให้สิทธิการบริหาร (ไลเซนซี) ดังนั้นจึงอยากให้ประเทศไทยมียอดขายที่ประสบความสำเร็จไปด้วยเช่นกัน

“ยอดขายของมูจิทั่วโลกในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 177,532 ล้านเยน และมีกำไรสุทธิ 16,135 ล้านเยน ซึ่งบริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ในแต่ละปี จะเปิดนอกประเทศญี่ปุ่นจำนวน 50 สาขา และเปิดสาขาใหม่ในญี่ปุ่น 10-20 สาขา” มัทสึมากิ กล่าวปิดท้าย

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68