เงินกู้ข้าวฉาว สยามอินดิก้า
ซีรีส์เงินกู้ก้อนมหึมาในวงการค้าข้าวยังเป็นเรื่องชวนติดตาม เพราะคล้อยหลังเพรซิเดนท์ อะกริฯ ถูกฟ้องล้มละลาย
โดย...ทีมข่าวการเงิน
ซีรีส์เงินกู้ก้อนมหึมาในวงการค้าข้าวยังเป็นเรื่องชวนติดตาม เพราะคล้อยหลังเพรซิเดนท์ อะกริฯ ถูกฟ้องล้มละลาย ก็ปรากฏชื่อบริษัท สยามอินดิก้า ขึ้นมาแทนที่ โดยมีธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ส่งกำลังบำรุง
“การที่บอร์ดมีมติปล่อยกู้ให้กับบริษัท สยามอินดิก้า เพื่อใช้เป็นวงเงินหมุนเวียนเพิ่มเติมอีก 2,000 ล้านบาท เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าจำเป็นต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นธนาคารจะไม่ได้รับชำระหนี้คืน และกลายเป็นหนี้เสียในที่สุด” อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย อธิบายกับโพสต์ทูเดย์ในช่วงเดือน พ.ค. 2551
อภิศักดิ์ ชี้แจงว่า ธนาคารได้ทำการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกค้ารายใหญ่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งหลังจากที่ปรับโครงสร้างหนี้ได้ จะทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารในไตรมาส 2 ลดลงไปจาก 9% เหลือ 8%
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทยได้ให้สินเชื่อหมุนเวียนกับบริษัท สยามอินดิก้า ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ไป 2,000 ล้านบาท โดยอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวเพื่อการแก้ปัญหาให้บริษัท สยามอินดิก้า มีเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้สามารถชำระหนี้ได้ในอนาคต ซึ่งเป็นสินเชื่อคนละส่วนกับสินเชื่อเดิมที่มีอยู่แล้ว 1,000 ล้านบาท
“ธนาคารได้จ้างบริษัทจากต่างชาติเข้ามาดูแลการเบิกใช้เงินของบริษัท สยามอินดิก้า รวมถึงดูแลสต๊อกข้าวที่ใช้เป็นหลักประกัน เพื่อให้เป็นการป้องกันความเสี่ยงสำหรับธนาคาร และสามารถรับรู้การเบิกใช้เงินของลูกค้า ส่วนหนี้ของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ ที่เป็นเอ็นพีแอล 900 ล้านบาท ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้” อภิศักดิ์ อธิบายเป็นฉากๆ
หากรวบรวมสินเชื่อในรูปแบบต่างๆ จะเห็นว่าธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับบริษัท สยามอินดิก้า ไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท
การให้สินเชื่อในครั้งนั้นได้มีการลงนามสัญญาการสนับสนุนอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2551
ในสัญญานั้นมีบางรายการระบุให้เห็นร่องรอยของการเกี่ยวพันโยงใยกัน
โดยวิธีการที่บริษัท สยามอินดิก้า เสนอต่อธนาคารกรุงไทย คือ เข้ามายื่นเป็นผู้ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ ที่กำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการฟ้องล้มละลาย
ปรากฏว่าบริษัท สยามอินดิก้า กับบริษัท สยามธัญรักษ์ ได้ใช้วิธีเข้าไปเสนอขอปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ ที่มีต่อธนาคารกรุงไทย ในวงเงินต้น 1,062.3 ล้านบาท ด้วยการเข้าไปซื้อหนี้ของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ
พร้อมกันนั้น ธนาคารกรุงไทยได้โอนสิทธิภายใต้สัญญาค้ำประกันที่ธนาคารมีอยู่กับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ ให้กับบริษัท สยามอินดิก้า และบริษัท สยามธัญรักษ์ โดยสัญญาซื้อหนี้ได้กระทำกันขึ้นในเดือน ส.ค. 2550
ทั้งนี้ สัญญาสินเชื่อประเภทต่างๆ มีทั้งสัญญาที่ธนาคารทำไว้กับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ อาทิ สัญญารับชำระหนี้ค่าข้าวในวงเงินสินเชื่อเพื่อการส่งออก (Packing Credit) สินเชื่อวงเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า สินเชื่อหนังสือค้ำประกัน สินเชื่อการซื้อ/ซื้อลดตั๋วสินค้าออกภายใต้เลตเตอร์ออฟเครดิต
และยังมีสัญญาค้ำประกันที่ธนาคารกรุงไทยเคยทำไว้กับ อภิชาติ จันทร์สกุลพร อีกด้วย
คล้อยหลังจากได้รับเงินกู้ไป บริษัท สยามอินดิก้า ได้เชิญชวนผู้ประกอบการโรงสีเข้าร่วมรับฟังการทำธุรกิจค้าข้าวของบริษัทอีกด้วย โดยจะชำระเงินให้กับโรงสีที่ขายข้าวให้ภายใน 10 วันทำการ สำหรับ 80% แรก
ส่วนที่เหลืออีก 20% ชำระภายใน 60 วันทำการ ผ่านธนาคารกรุงไทยที่บรรดาโรงสีเปิดบัญชีไว้
ภายหลังจากที่กระบวนการทำสัญญาธุรกิจระหว่างธนาคารกรุงไทยกับสยามอินดิก้า และกลุ่มโรงสีข้าวที่ยอมรับเงื่อนไขเสร็จสิ้นลง
ปรากฏว่าในช่วงนั้น สยามอินดิก้า ได้ออกกว้านซื้อข้าวจากโรงสี โดยตั้งราคารับซื้อสูงกว่าผู้ส่งออกรายอื่น
เงินทุกบาททุกสตางค์ผ่านในบัญชีธนาคารกรุงไทย...
“ธนาคารตั้งเวิร์กกิงแคปก้อนหนึ่งให้เขาอยู่แล้ว เมื่อเขามีออร์เดอร์มา ก็มาขอเปิดแอลซี แบงก์ก็ได้เงินจากการขายข้าว ทำให้เขาไม่ได้จับเงิน จึงไม่มีความเสี่ยง” อภิศักดิ์ ชี้แจง
อภิศักดิ์ บอกว่า ปัจจุบันบริษัทยังชำระหนี้กับธนาคารตามปกติ ไม่มีปัญหา
ขณะที่เมื่อสอบถามไปยังธนาคารอื่นซึ่งเป็นเจ้าหนี้เก่าที่ฟ้องร้องบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ และกลุ่มสยามอินดิก้า ก็ได้รับการยืนยันว่า สยามอินดิก้า ยังไม่ได้มาขอสินเชื่อหรือเคลียร์หนี้แต่อย่างใด
แต่ไฉน สยามอินดิก้า จึงอยู่ได้ และชื่อของบริษัท สยามอินดิก้า ได้โผล่ขึ้นมาเป็นขาใหญ่ในวงการค้าข้าว
การกลับมาเป็นขาใหญ่ในวงการค้าข้าวครั้งนี้ ก็สร้างความฮือฮาไม่แพ้กลุ่มเพรซิเดนท์ อะกริฯ เนื่องจากนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ทำให้ข้าวไปอยู่ในมือองค์การคลังสินค้า (อคส.) และผู้ส่งออกข้าวกล่าวหาว่า สยามอินดิก้าเป็นผู้ค้าข้าวรายเดียวที่กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวให้ ในขณะที่ผู้ส่งออกรายอื่นไปขอซื้อจะถูกปฏิเสธ
ข้อมูลล่าสุดของบริษัท สยามอินดิก้า จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อปี 2551 ระบุว่า มีกรรมการ 2 คน คือ อนุ จารุศิลาวงศ์ และ รัตนา แซ่เฮง จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2547
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2548 เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เพรซิเดนท์ ไรซ์ บาวด์ และกลับมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัท สยามอินดิก้า อีกครั้งเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2550
สอบถามคนในแวดวงค้าข้าวต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ชื่อกรรมการทั้งสองคนของบริษัทนี้ เคยเป็นพนักงานบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ
เป็นบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ 9 ธนาคาร วงเงินรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินต้นประมาณ 8,800 ล้านบาท ที่มี อภิชาติ จันทร์สกุลพร ประธานกลุ่มบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ เป็นผู้ค้ำประกันโดยส่วนตัวทั้งจำนวน
เป็นบริษัทที่บรรดาเจ้าหนี้รวมตัวไปร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ผู้บริหารของเพรซิเดนท์ อะกริฯ ยักย้ายถ่ายเทข้าว ซึ่งถือเป็นหลักประกันสินเชื่อแอบขายออกไป และไม่มีเงินมาชำระหนี้ เข้าข่ายฉ้อโกง จึงฟ้องร้องผู้บริหารทั้งทางแพ่งและอาญา
เรียกได้ว่าเป็นแขนขาและอาณาจักรของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ ที่เคยเป็นเสือลำบาก แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการธนาคารกรุงไทยได้อนุมัติให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อ 2,500-3,000 ล้านบาท ให้กับบริษัท สยามอินดิก้า ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ตั้งขึ้นใหม่ของกลุ่มเพรซิเดนท์ อะกริฯ เพื่อนำไปซื้อข้าวจากโรงสีเพื่อการส่งออก
ทั้งๆ ที่โดยปกติหากลูกหนี้เป็นเอ็นพีแอลก็จะต้องถูกระงับสินเชื่อ
สืบเสาะในรายละเอียดในการกู้ยืมเงิน พบว่าบริษัท สยามอินดิก้า ได้ยื่นขอสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทยในวงเงิน 1,050 ล้านบาท ในวงเงินกู้ประจำ Term Loan โดยมีหลักประกันเป็นที่ดินหลายแปลงใน อ.ป่าโมก กับบางมูลนาก เครื่องจักรจำนำใบหุ้นสามัญ บริษัท สยามอินดิก้า มีกำหนดชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 11 ปี 2 เดือน โดยสัญญาฉบับนี้ทำกันในเดือน พ.ค. 2551
เมื่อได้เงินกู้มาใช้จ่ายต่อยอดทางธุรกิจ ก็เท่ากับว่าบริษัท สยามอินดิก้า ซึ่งก็คือบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ แปลงตัวมา ก็กระพือปีกอีกครั้ง
เป็นการกระพือปีกอย่างยิ่งใหญ่ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แทนที่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร
และเป็นการส่งสัญญาณที่ว่า อภิชาติ ยังไม่ได้วางมือหลังการถูกฟ้องล้มละลาย และอาจจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนขั้ว
เพราะเขาสามารถเชื่อมกับนักการเมืองเก่าและใหม่ อันเป็นผลมาจากสายสัมพันธ์ที่แน่นเฟ้น เพราะความใจถึง พึ่งได้ และคำไหนคำนั้น
ปัจจุบันเขาได้สานต่อผลประโยชน์ในวงการค้าข้าวแบบเบ็ดเสร็จ แต่ไม่ใช่ในชื่อ เพรซิเดนท์ อะกริฯ อีกต่อไป
บริษัทรายใหม่ที่ก้าวเข้ามาทดแทนนั้นชื่อ บริษัท สยามอินดิก้า ที่ว่ากันว่าเป็นผู้คุมการระบายข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แบบเบ็ดเสร็จ
ชนิดที่แม้แต่เอกอัครราชทูตจากต่างประเทศที่สนใจซื้อข้าวจากไทยก็ได้ยินกับ 2 หู เมื่อมีการเจรจาซื้อข้าวจากไทยว่า...
ให้ไปเจรจากับบริษัท สยามอินดิก้า เพียงรายเดียว


