วงสวิงไม่เจ๋ง ไม่เก่งเหมือนโปร ก็ทำเงินจากกอล์ฟได้ (ตอนแรก)
ยิ่งกอล์ฟได้รับความนิยมมากเท่าไร อุปกรณ์กอล์ฟในยุคโบราณ (ซึ่งไม่ใช่เฉพาะไม้กอล์ฟเท่านั้น) ยิ่งมีโอกาสที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งกอล์ฟได้รับความนิยมมากเท่าไร อุปกรณ์กอล์ฟในยุคโบราณ (ซึ่งไม่ใช่เฉพาะไม้กอล์ฟเท่านั้น) ยิ่งมีโอกาสที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]
เมื่อปี 2550 เจฟ เอลลิส นักสะสมไม้กอล์ฟรุ่นบุกเบิก ขายไม้กอล์ฟที่เขาสะสมมาเป็นเวลา 30 ปี ได้เงิน 2,166,210 เหรียญสหรัฐ หรือมูลค่าเท่ากับ 71,484,930 บาท ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุด (ในขณะนั้น) ที่ได้จากการประมูล โดย Sotheby’s
แม้จะไม่มากเท่ากับการชนะการแข่งขันในรายการระดับพีจีเอ ทัวร์ สัก 2-3 รายการ เพราะถ้าไปดูข้อมูลใน GPATOUR.com จะเห็นว่า แทบทุกรายการจะมีเงินอยู่ใกล้ๆ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ และถ้าเป็นรายการ THE PLAYER Championship จะได้รับเงินรางวัลสูงที่สุด เท่ากับ 1.71 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่จะมีนักกอล์ฟสักกี่คนที่ใช้เวลา 30 ปี ในการก้าวขึ้นไปคว้าชัยรับเงินรางวัลได้มากมายขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นอีกคนที่รักกอล์ฟ บ้ากอล์ฟ และชอบซื้อไม้กอล์ฟ แต่ไม่อยากถูกคนข้างๆ ค่อนแคะว่า “ไร้สาระ” หรือ “สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ” จะลองหันมาสะสมไม้กอล์ฟโบราณเหมือน เจฟ เอลลิส ซึ่งไม่แน่ว่า ในอนาคตคุณอาจจะได้จัดงานประมูลของตัวเองบ้างก็ได้
**ของเก่า ของแก่ ของกอล์ฟ
ไม่ต้องย้อนไปถึงยุคบุกเบิกของกีฬากอล์ฟในยุคของชาวโรมัน หรือตั้งแต่ที่มันยังเป็นแค่เกม “ฉุยหวาน” ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ประเทศจีน และไม่ต้องถึงกับพยายามเสาะหาไม้กอล์ฟรุ่นที่ชาวสก็อตแลนด์ใช้ตีกันตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14
เพราะในประเทศไทยเองมีการเริ่มเล่นกอล์ฟมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยเป็นการเล่นกันในกลุ่มชนชั้นสูงและชาวต่างชาติ และกีฬากอล์ฟก็ได้รับความนิยมขึ้นมาตามลำดับ แม้ว่าจะเงียบเหงาไปบ้างในช่วงสงครามโลก (ขอบคุณข้อมูลประวัติกีฬากอล์ฟจาก golfprojack.com)
ดังนั้นการเริ่มต้นสะสมไม้กอล์ฟโบราณคงไม่ยากเกินไป ถ้าจะลองไปเดินตามหาในร้านขายของเก่า
แม้ว่า วันนี้ไม้กอล์ฟโบราณ จะเป็นของสะสมที่อยู่ใน “วงแคบ” แต่ตอนนี้คนไทยกับกีฬากอล์ฟไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงสังคมชั้นสูงเท่านั้น แต่ยังกระจายไปทุกมุมเมือง กระจายไปทุกวงสังคม เหมือนที่กีฬากอล์ฟได้รับความนิยมไปทั่วโลก
และยิ่งกอล์ฟได้รับความนิยมมากเท่าไร อุปกรณ์กอล์ฟในยุคโบราณ (ซึ่งไม่ใช่เฉพาะไม้กอล์ฟเท่านั้น) ยิ่งมีโอกาสที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อหลายปีก่อน เอลลิส เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์บไว้ว่า เขาจำได้แม่นเลยว่า ไม้กอล์ฟที่ผลิตในปี 1810 ที่เขาซื้อมาในราคา 8,000 เหรียญสหรัฐ เมื่อปี 1984 สามารถขายได้ในราคา 35,000-55,000 เหรียญสหรัฐ ในปี 2005
ใช้เวลา 21 ปี ไม้กอล์ฟโบราณ กลายเป็นของสะสมที่สามารถทำกำไรได้ถึง 47,000 เหรียญสหรัฐ (มากกว่า 1.5 ล้านบาท) หรือประมาณ 400-700%
**ยิ่งเก่า ยิ่งเก๋า ยิ่งน่าเก็บ?
ไม้กอล์ฟของ เอลลิส ที่มีคนประมูลไปในราคาสูงที่สุด คือ Long Nose Putter ที่ทำโดย แอนดรู ดิกสัน ในช่วงปี ค.ศ.1750 ด้วยราคา 181,000 เหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 6 ล้านบาท ในปัจจุบัน รองลงมาเป็นไม้เหล็ก Square Toe Light Iron ในศตวรรษที่ 16 ราคา 151,000 เหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีไม้กอล์ฟหน้าตาแปลกๆ อาทิ ไม้มีรู ไม้ประกบกัน และไม้ที่เหมือนมีลูกกระพรวนห้อยอยู่ (เห็นหน้าตาแบบนี้ แต่ไม้กอล์ฟที่ทำจากเงินอันนี้ถือเป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะในการแข่งขัน โดยเริ่มจากการแข่งขันอย่างเป็นทางการในปี 1744) ที่มีราคาประมูลไปถึงเกือบครึ่งแสนเหรียญสหรัฐ
เพราะฉะนั้นสำหรับไม้กอล์ฟโบราณ ไม่ใช่ว่ายิ่งเก่าจะยิ่งเก๋าและยิ่งน่าสะสมตามไปด้วย โดยเฉพาะนักสะสมมือใหม่ เพราะ เอลลิส แนะนำคนที่อยากจะเข้ามาลองสะสมไม้กอล์ฟเอาไว้ว่า ควรจะเริ่มจากระดับ “คลาสสิค” หรือ ไม้กอล์ฟที่ผลิตออกมาในช่วงปี 1930-1960 เสียก่อน
นั่นเพราะไม้กอล์ฟในยุคนี้ยังไม่ถือว่าเก่ามากและไม่ได้หายากมากนัก แถมยังราคาไม่สูง ที่เขาบอกว่า “แค่ไม่กี่ร้อยเหรียญสหรัฐ” แต่ถ้าเป็นไม้กอล์ฟที่จัดว่า “หายาก” ราคาจะขึ้นไปถึงเลขหกหลักในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ เอลลิส ยังแนะนำวิธีการสะสมให้กับนักสะสมมือใหม่ว่า อย่าไปยึดติดที่ “คนใช้ไม้กอล์ฟ” แต่ให้สะสมจาก “คนทำไม้กอล์ฟ” จะดีกว่า
เขายกตัวอย่างไม้กอล์ฟอันหนึ่งที่เขาบอกว่า เคยได้รับความนิยมจากนักสะสมค่อนข้างมาก คือ ไดรเวอร์ MacGregor Tommy Armour 945 Eye-O-Matic ซึ่งเป็นไม้คู่กายของ แจ็ค นิคลอส นักกอล์ฟระดับตำนานอีกคนหนึ่งในวงการกอล์ฟ ที่รุ่งเรืองอยู่ในช่วงปี 1959-1986
ราคาของ 945 Eye-O-Matic หรือ 945 E-O-M พุ่งขึ้นไปสูงที่สุดในช่วงปี 1980 โดยทำราคาได้ถึง 2,000-5,000 เหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะราคาในประเทศญี่ปุ่นจะถีบตัวขึ้นไปแรงกว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง เอลลิส บอกว่า ตลาดไม้กอล์ฟในญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับ “ฮีโร่” มากๆ
แต่แล้วหายนะก็มาเยือนนักสะสม (รวมทั้งนักเก็งกำไร) ที่มีไดรเวอร์รุ่นนี้ในครอบครอง เมื่อ “ฮีโร่” เปลี่ยนไม้ ไปใช้รุ่นอื่น ยี่ห้ออื่น เช่นเดียวกับ 945 E-O-M ที่เหลือราคาซื้อขายกันอยู่แค่ไม่กี่ร้อยเหรียญสหรัฐ
เอลลิส บอกว่า เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ฮีโร่ ไม่ได้ช่วยเพิ่มค่าให้กับไม้กอล์ฟได้เสมอไป แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่มันผลิตโดยใครต่างหาก พร้อมกับยกตัวอย่างไม้ที่ผลิตโดย Spalding ในปี 1897 และ ปี 1920 ที่สามารถซื้อได้ในราคา 400-500 เหรียญสหรัฐ เมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ตอนนี้ราคาขึ้นไปซื้อขายกันสูงกว่า 1,500 เหรียญสหรัฐ
“ผมอยากให้เลือกสะสมไม้กอล์ฟที่ทำจากไม้ และไม่ต้องให้ความสำคัญว่า นักกอล์ฟคนไหนใช้มัน แต่ให้ดูที่ว่า ใครเป็นคนผลิตมัน” เอลลิส แนะนำ
เขายังบอกอีกว่า ถ้าเป็นต้นยุค 1800 จะต้องมีชื่อของ John Jackson และ Huge Philp อยู่ในบัญชีสุดยอดช่างทำไม้กอล์ฟ เพราะเป็นช่างอย่างเป็นทางการรุ่นแรกของ St.Andrews ในสก็อตแลนด์ โดยมีไม้กอล์ฟประมาณ 200 อันเท่านั้นที่ยังอยู่ในตลาด และราคาซื้อขายอยู่ระหว่าง 2,000-30,000 เหรียญสหรัฐขึ้นอยู่กับสภาพ
ถ้าเป็นปลายยุค 1900 ต้องยกให้กับ Robert Forgan และ Old Tom Morris โดยไดรเวอร์ long nose ปี 1860 ทำด้วยมือของมอร์ริส เจ้าขอฉายา “grand old man of golf” มีมูลค่าตั้งแต่ 5,000 ถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ
แต่ถ้าไปถามเรื่องการสะสมอุปกรณ์กอล์ฟกับ มอร์ท โอล์แมน นักสะสมที่เคยขายลูกกอล์ฟอายุ 150 ปี ผลิตโดย Allan Robertson ในสก็อตแลนด์ ไปในราคา 11,550 เหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 4 แสนบาท นอกจากนี้ยังร่วมเขียนสารานุกรมกอล์ฟเพื่อการสะสม
เขาจะบอกว่า หลักการสะสมอุปกรณ์กอล์ฟที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าในอนาคตจะประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ อายุ ความหายาก สภาพ และความนิยมของตลาด ซึ่งอันสุดท้ายเป็นปัจจัยที่มีความผันผวนมากที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กอล์ฟที่น่าสะสมอันไหนก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังไว้ คือ ของเหล่านี้มักจะหาไม่ได้ง่ายๆ จาก ebay.com หรือ ถ้าหาได้ก็ต้องระวังว่า มันอาจจะกลายเป็นของปลอมก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าริจะเป็นนักสะสมไม้กอล์ฟโบราณก็จำเป็นต้องศึกษาให้รอบคอบเสียก่อนที่จะตัดสินใจซื้อมาไว้ในครอบครอง
และใช่ว่า มีแต่อุปกรณ์กอล์ฟโบราณเท่านั้นที่จะขึ้นชั้นเป็น “ของสะสมเพิ่มค่า” เพราะอุปกรณ์กอล์ฟในยุคนี้ ได้ขึ้นเทียบชั้นเป็นของสะสมเพิ่มค่ากับเขาด้วยเหมือนกัน
สัปดาห์หน้า ไปดู การสะสมพัตเตอร์ ความสุขไม่สูญเปล่า ของ “พี่เจ” เจตริน วัฒนสิน และคำแนะนำในการสะสมไม้กอล์ฟที่สร้างรายได้ให้ผู้ชายคนหนึ่งจนเรียนจบมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา


