สหพัฒน์หนีค่าจ้างไปพม่า
เล็งตั้งนิคมฯผลิตสินค้าในเครือเอกชนดิ้นสู้ทั้งลดคน-ปรับราคา
เล็งตั้งนิคมฯผลิตสินค้าในเครือเอกชนดิ้นสู้ทั้งลดคน-ปรับราคา
สหพัฒน์เตรียมย้ายฐานผลิตบุกพม่า หลังค่าจ้างไทยขึ้น รายอื่นสุดอั้นขึ้นราคาลดคน
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เปิดเผยว่า ถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า เครือสหพัฒน์มีพนักงานในเครือ 1 แสนคนส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่ต้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เบื้องต้นยอมรับว่ามีผลกระทบมาก และอาจต้องปรับราคาสินค้าขึ้น ซึ่งบริษัทจะพยายามตรึงราคาให้นานที่สุด
ด้านแผนการรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นนั้น บริษัทจะเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน เริ่มจากประเทศพม่า ที่เครือสหพัฒน์จะเข้าไปตั้งนิคมอุตสาหกรรม โดยอาจเริ่มลงทุนปีนี้ในเกือบทุกกลุ่มสินค้าในเครือ ยกเว้นสินค้าราคาแพงและใช้เทคโนโลยีการผลิตสูง จะใช้ไทยเป็นฐานผลิตต่อไป
การเลือกลงทุนในประเทศพม่า เพราะมีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าไทย หรือไม่ถึงวันละ 100 บาท ส่วนประเทศกัมพูชาและลาวก็สนใจเข้าไปสร้างโรงงานเช่นกัน แต่ยังมีปัญหาแรงงานขาดแคลน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถระบุผลการปรับจากการปรับค่าแรงได้ชัดเจน แต่นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและการตลาด บริษัท ยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือยูเอฟพี กล่าวว่า การขึ้นค่าจ้างงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทำให้บริษัทต้องปรับองค์กร และใช้เครื่องจักรทำงานร่วมกับพนักงานในองค์กรมากขึ้น โดยได้ลงทุนพัฒนาเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้า 1020 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังขอปรับขึ้นราคาสินค้ากับคู่ค้าในต่างประเทศ 12% ในเดือน เม.ย.นี้ ส่วนสินค้าในประเทศจะตรึงราคาสินค้าให้นานที่สุด ซึ่งคาดว่าในเดือน มิ.ย.นี้ ซัพพลายเออร์จะปรับขึ้นราคาสินค้าแน่นอน จากนั้นก็ต้องพิจารณาราคาสินค้าใหม่อีกครั้ง
ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานในองค์กร 6,000 คน มีค่าจ้างเฉลี่ย 230-240 บาทต่อวัน ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้จะส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 2-2.5% คิดเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 140 ล้านบาทต่อปี แต่ยังไม่มีแผนย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายรายได้รวมของบริษัทในสิ้นปีนี้ ยังมั่นใจว่า จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 10% อยู่ที่ 9,400 ล้านบาท และมียอดขายมาจาก บริษัท พรานทะเล ประมาณ 1,400 ล้านบาท
นายภาส นิธิปิติกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สินวารีพัฒนา ผู้ผลิตและทำตลาดน้ำปลาเมกาเชฟ กล่าวว่า บริษัทวางแผนนำเครื่องจักรมาผลิตร่วมกับแรงงานมากขึ้น และจะปรับลดแรงงานที่ไม่จำเป็นบางส่วน เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนที่สูงขึ้นได้ จากปัจจุบันมีพนักงาน 100 คน และมีแผนปรับราคาสินค้าขึ้นเช่นกัน
ขณะที่ในภาคบริการ เช่น รปภ.และแม่บ้านที่ใช้บริษัทเอาต์ซอร์สก็ต้องปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เช่นกัน โดยอยู่ที่ 1.8 หมื่นบาทต่อเดือน และระดับหัวหน้า 2.2 หมื่นบาทต่อเดือน


