Fat Tail
ท่ามกลางความคลุมเครือในสถานการณ์วิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรป
ท่ามกลางความคลุมเครือในสถานการณ์วิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรป
โดย..รศ.ดร.เอกชัย นิตยเกษตรวัฒน์
แม้ว่ารัฐสภากรีซจะอนุมัติแผนรัดเข็มขัดที่จะช่วยให้กรีซกับกลุ่มเจ้าหนี้สามารถบรรลุข้อตกลงที่ตัดลดหนี้ของกรีซลง ซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ของกรีซลดลงจากระดับ 160% เหลือเพียง 120% ของจีดีพี
แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะยอดรวมของหนี้สินของทั้งกลุ่มก็ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งมาตรการรัดเข็มขัดเหล่านี้จะเป็นตัวถ่วงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ ซึ่งจะถดถอยต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง
แม้กระนั้นตลาดหุ้นยังสามารถเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ โดยทะลุระดับจิตวิทยาที่ 1,100 จุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้จะปรับฐานลงบ้าง แต่ก็ยังคงยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ตลอดทั้งสัปดาห์
ทั้งนี้ เนื่องจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าในขณะนี้เป็นตัวดันให้หุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ข่าวคราวด้านเศรษฐกิจโลกก็มีทั้งลบทั้งบวก ทำให้นักลงทุนแม้จะหวั่นเกรงความเสี่ยง แต่ก็ยังมีความหวังอยู่
การคาดหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้ถอยลงแต่ประการใด แต่สถานการณ์ที่ยังไม่น่าไว้วางใจทำให้เกิดความเสี่ยงที่เรียกว่า “หางหนา” หรือ Fat Tail Risk หรือศัพท์ทางวิชาการ คือ Leptokurtic
ความเสี่ยงดังกล่าวมีผล คือ การเติบโตตามที่คาดหมาย (Expected Growth) แม้ยังไม่เปลี่ยนไป (ที่จุด 0 ของรูป) แต่โอกาสที่จะเลวร้ายกว่าที่คาด (ที่จุดติดลบ) มีความเป็นไปได้มากขึ้น (โดยในแง่การบริหารความเสี่ยง เราจะให้ความสำคัญกับความเสียหายเกินคาด มากกว่าความสำเร็จเกินคาด) หรือโอกาสที่เกิดความเสียหายจากเศรษฐกิจที่ถดถอยหรือชะลอตัวมีความเป็นไปได้สูงขึ้น และในอีกแง่มุมหนึ่งระดับความเสียหายอาจรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยภายใต้ความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลก คาดหมายอัตราการเติบโตที่ 45% ในภาวะความเสี่ยงที่สูงขึ้น ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่อัตราการเติบโตจะต่ำกว่าที่คาด และอาจถึงกับติดลบ ซึ่งจากเดิมเราอาจไม่ได้คาดคิดว่าเศรษฐกิจจะติดลบแม้ในภาวะเลวร้ายที่สุด (Worst Case Scenario)
ปัจจัยที่ทำให้เกิด “ภาวะหางหนาด้านความเสี่ยง” ก็เช่นความคาดหมายที่ว่ากลุ่มที่ใช้เงินยูโร (Eurozone) จะเข้าสู่ภาวะถดถอยส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก (เป็นไปได้มากจากมาตรการทางการคลังที่เข้มงวดขึ้นและจากการลดหนี้)
ในกรณีที่เงินสกุลยูโรเกิดล่มสลาย อาจทำให้จีดีพีของกลุ่มติดลบ 56% และจะฉุดให้ภาคส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะสหรัฐติดลบไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การคาดหมายหรืออัตราเฉลี่ยที่ยังคงไม่เปลี่ยนมาจากความคาดหวังว่าการแก้ปัญหาหนี้ของยุโรปน่าจะได้ข้อยุติสักที จะได้มีมาตรการอื่นมากระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ยและการเพิ่มวงเงินตามมาตรการคิวอี (Quantitative Easing : QE) จะช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว
เพราะฉะนั้นไม่ต้องตื่นตระหนก แต่อย่าประมาทเป็นดีที่สุด


