เชิดมังกร เชิดเพื่อสิริมงคล จากงานบุญสู่อาชีพเงิน(เฉียด)ล้าน
“ตะลุง ตะลุง ตะลุง ตุงแช่ ตะลุง ตุงแช่”
“ตะลุง ตะลุง ตะลุง ตุงแช่ ตะลุง ตุงแช่”
เสียงกลอง เสียงฉาบ ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่มังกรตัวเบ้อเริ่มจะปรากฏตัวพร้อมกับการแห่ที่ร่ายรำไปตามจังหวะกลองได้อย่างสวยงาม แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าผู้ที่เชิดมังกรตัวยาวนับสิบเมตรนี้ ต้องผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ผมยืนมองการเชิดมังกรด้วยความตื่นตา โดยยอมรับว่าไม่เคยเห็นการแห่มังกรใกล้ๆ อย่างนี้มาก่อน เคยเห็นก็แต่ในโทรทัศน์ และยิ่งช่วงที่คณะมังกรปีนป่ายขึ้นไปบนเสาเล็ก เพื่อเชิดมังกร ให้ไต่เสาตามไปด้วยนั้น ยิ่งสร้างความประทับใจเข้าไปใหญ่ เพราะได้เห็นถึงความสามัคคีและความพร้อมเพรียงกันของทีมเชิดว่าต้องพร้อมเพรียงกันแค่ไหน
ยิ่งมายืนใกล้ๆ อย่างนี้ยิ่งทำให้รู้ว่าการแห่มังกรนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ ก็คนเชิดแต่ละคนที่ถือไม้เชิด ไล่ไปตั้งแต่หางมังกร ตัวมังกร และหัวมังกรนั้น เหงื่อท่วมตัวกันทั้งนั้น
ที่สำคัญ สถานที่ที่ผมมายืนดูการแห่มังกรนี้กลับไม่ได้อยู่ที่ จ.นครสวรรค์ ที่เป็นต้นกำเนิดการแห่มังกรของเมืองไทย แต่กลับเป็นที่ สวนสยาม สวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ทำไมที่สวนสยามถึงมีการแห่มังกรได้ เรื่องนี้ต้องมีคำตอบครับ
คุณสุวัฒน์ วิมลอนันต์ เจ้าของคณะมังกรทอง หอการค้าจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งทีมงานแห่มังกรที่ผมเห็นไปเมื่อตะกี้นี้ จะมาเป็นผู้เฉลยคำตอบให้ครับ
พี่สุวัฒน์ บอกว่า คณะมังกรทองมาแสดงที่นี่ก็เพราะว่าได้รับการว่าจ้างจากทางสวนสยามให้มาแห่มังกรในช่วงวันตรุษจีนเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับที่สวนสยามเอง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวด้วย
ก็เลยถึงบางอ้อ...ว่าคณะมังกรทองนี้ถูกว่าจ้างมาแสดงเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับสถานที่ต่างๆ ก็เลยขอถามไถ่หน่อยดีกว่าว่า อาชีพแห่หรือเชิดมังกรนี้มีรายละเอียดอย่างไร เพราะผมเห็นสมาชิกในคณะมีหลายสิบคนทีเดียว
“คณะของเรารับจ้างแห่มังกรตามแต่ที่เจ้าภาพจะจ้าง ซึ่งงานส่วนใหญ่จะเป็นงานเปิดร้าน เปิดบริษัท งานวันเกิด ไม่ได้มีแต่เฉพาะช่วงตรุษจีนเท่านั้น แต่มีทั้งปีเฉลี่ยแล้วก็ตกเดือนละ 23 ครั้ง แต่หากเป็นช่วงตรุษจีน ก็จะไม่ว่างเลย”
พี่สุวัฒน์ บอกว่า คณะมังกรทองนี้ถือว่าเป็นแบรนด์ของ จ.นครสวรรค์ เหมือนเป็นสินค้าโอท็อปอย่างหนึ่งของจังหวัด เพราะคณะแห่มังกรนั้นจะว่าไปแล้ว จ.นครสวรรค์ ถือเป็นต้นตำรับการแห่มังกรในประเทศไทย เพราะมีมานานหลายสิบปีแล้ว
ทำไมถึงต้องเป็นที่ จ.นครสวรรค์ ก็เพราะว่า จ.นครสวรรค์ เป็นจังหวัดเมืองท่าของการค้าขาย เมื่อมีการค้าขาย แน่นอนครับว่าต้องมีชาวจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเป็นชาติที่เก่งเรื่องค้าขาย ซึ่งชาวจีนที่มาค้าขายในเมืองไทยก็นำเทพเจ้ามาเคารพบูชาด้วย ซึ่งเทพเจ้าเหล่านั้นก็คือ เจ้าพ่อเทพารักษ์ เจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่ทับทิม เจ้าแม่สวรรค์ ต่อมาที่ จ.นครสวรรค์ เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ทำให้ชาวบ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก
ก็เลยมีการนำเอา ฮู้ หรือ ยันต์ ในศาลเจ้าที่ประทับของเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ไปเผาไฟ แล้วนำมาต้มน้ำดื่มปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เกิดความเคารพนับถือกันอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการแห่มังกร เพื่อแสดงความเคารพเทพเจ้า จนกลายเป็นเทศกาลประจำปี
“มังกร เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพาหนะของเจ้าแม่กวนอิม ดังนั้นการแห่มังกรจึงเป็นเรื่องของสิริมงคล เป็นพิธีมงคล ไม่จำกัดว่าจะต้องทำเฉพาะเทศกาลตรุษจีน เหมือนเป็นการให้พร”
ทำให้มีการว่าจ้างคณะมังกรไปแห่ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งชาวจีนอาศัยอยู่เป็นประจำ ซึ่งการว่าจ้างนั้นไม่ใช่ธรรมดาๆ นะครับ เพราะการจ้างแต่ละครั้งนั้นอยู่ในระดับหลายหมื่นถึงหลายแสนบาทเลยทีเดียว
ระดับราคาค่าจ้างจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับขนาดความยาวของมังกร ที่เริ่มต้นต้องมีความยาวที่ 17 ไม้ หรือมีไม้เชิด 17 ท่อน ซึ่งเป็นความยาวระดับมาตรฐานที่มีมาตั้งแต่โบราณ จะไม่มีสั้นกว่านี้ แต่หากเจ้าภาพต้องการให้ยาวกว่านี้ เพื่อเสริมสิริมงคล ก็ทำให้ได้ แต่ราคาก็ต้องปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“เราทำมังกรยาวเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าภาพ แต่จะไม่สั้นกว่า 17 ไม้ เพราะเป็นขนาดมาตรฐาน ที่อื่นอาจจะมี 7 ไม้ 9 ไม้ แต่เราไม่มีแน่นอน ทำให้ราคาเราสูงกว่าคนอื่น เพราะมังกรขนาด 17 ไม้ ต้องใช้คนแห่ทั้งหมดเกือบ 40 คน”
สาเหตุที่ต้องใช้คนแห่เยอะขนาดนั้น เพราะน้ำหนักไม้แต่ละท่อนหนักไม่ใช่เล่นครับ แค่ยกเฉยๆ ก็แย่แล้ว แต่การที่ต้องทั้งยก โยก วิ่ง ครบหมด ทำให้ต้องมีการผลัดไม้ ไม่อย่างนั้นคนคนเดียวไม่สามารถแห่ได้จนจบ โดยเฉพาะหัวมังกรนั้นมีน้ำหนักเกือบ 30 กิโลกรัม ต้องมีคนผลัดถึง 3 คนทีเดียว
ทำให้การแห่มังกรแต่ละครั้งนั้น จำเป็นต้องใช้คนแห่ครั้งละ 50 คน สำหรับมังกรมาตรฐานที่ยาว 50 เมตร และหากมังกรยาวกว่านั้น จำนวนคนแห่ก็ต้องเพิ่มเป็นเงาตามตัว
การที่ไม่สามารถประหยัดเรื่องคนได้ ทำให้การแห่มังกรหรือการเชิดมังกรแต่ละครั้งนั้น นอกจากเป็นการแสดงถึงเรื่องของโชคลาภ สิริมงคลแล้ว ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและความมีระเบียบวินัยของคณะที่เชิดอีกด้วย
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับที่จะทำให้คนทั้ง 50 คน มาเชิดมังกรด้วยความพร้อมเพรียงกัน ต้องอาศัยการฝึกซ้อมอย่างหนัก รวมถึงเด็กๆ พวกนี้ต้องมีระเบียบวินัยในการมาฝึกซ้อมอีกด้วย
“เด็กที่มาแห่ มาเชิดนั้น เป็นเด็กนครสวรรค์ เป็นเด็กในพื้นที่ทั้งนั้น ซึ่งเราภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้เด็กๆ เหล่านี้มีวินัย ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เพราะเด็กวัยนี้ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อยู่ในช่วงวัยรุ่น เมื่อมีกิจกรรมยามที่ทำให้ห่างไกลยาเสพติดและเป็นรายได้เสริมของเด็กๆ ได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี”
สำหรับระยะเวลาการฝึกเด็กๆ ที่มาร่วมคณะนั้น ต้องใช้เวลาตั้งแต่ 13 เดือน โดย 1 เดือนแรกจะทำได้แค่วิ่งเชิดเลื้อยไปเลื้อยมาเท่านั้น ซึ่งในเดือนแรกเด็กใหม่ๆ จะเชิดในตำแหน่งหาง และช่วงตัวด้านหางเท่านั้น แต่เมื่อย่างเข้าเดือนที่ 2 ก็เริ่มฝึกท่าทาง ซึ่งต้องใช้ทั้งกำลังและทักษะ เมื่อคล่องแล้ว ก็จะเข้าสู่เดือนที่ 3 ก็คือการฝึกขึ้นเสาหรือมังกรไต่เสา ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดของการฝึกแล้ว
ส่วนคนเชิดหัวมังกรนั้น ไม่ต้องพูดถึงครับ ต้องเชิดถึงระดับเซียน แถมแข็งแรงมากๆ ถึงจะเชิดหัวมังกรได้ จะไม่ให้แข็งแรงมากๆ ได้ยังไงครับ ก็หัวมังกรมีน้ำหนักตั้ง 30 กิโลกรัมแล้วครับ ไม่ต้องแห่หรอกครับ แค่ยกก็ยากแล้ว แต่ต้องยกแล้ววิ่งด้วย สุดยอดแข็งแรง
สำหรับราคาค่าจ้างของคณะมังกรทองนี้ จะมีตั้งแต่หลายหมื่นบาทถึงเกือบล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดความยาวของมังกรครับ ที่สนนราคาเกือบล้านนั้น ก็เพราะว่าทางคณะมังกรทองนี้ทำมังกรให้ด้วยเลย ซึ่งราคามังกรก็ตกประมาณตัวละ 2 แสนบาทแล้วครับ กับขนาดมาตรฐาน 17 ไม้ หรือ 50 เมตร
ที่สำคัญ มังกรที่เอามาเล่นในเทศกาลตรุษจีนของทุกปีจะต้องทำใหม่ทุกครั้ง เพราะตรุษจีนต้องใช้ของใหม่ตลอด ส่วนมังกรตัวเก่านั้นก็จะเก็บไว้เชิดงานอื่น และเมื่อเก่ามากๆ จนไม่สามารถเก็บได้ ก็ต้องจุดธูปแล้วนำไปลอยน้ำ ห้ามทิ้งเด็ดขาด
“นอกจากแห่แล้ว ทางคณะมังกรทองยังสร้างมังกรเองด้วย ทุกอย่างแฮนด์เมดหมด หนังมังกรก็ต้องสั่งจากญี่ปุ่น แล้วมาวาดลายเอง ไม้ไผ่ที่ใช้ต้องเป็นไผ่ตง เพราะมีคุณสมบัติเหนียว และทนทาน ใช้เวลาทำประมาณ 2 เดือนกว่าจะเสร็จ”
สุวัฒน์ ย้ำว่า การรับจ้างของคณะมังกรทองนี้จะรับเฉพาะงานมงคลเท่านั้น ไม่เชิดแบบเรี่ยไรโดยเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของ จ.นครสวรรค์
ไม่น่าเชื่อว่าจากการแสดงเพื่อความเคารพเทพเจ้า จะกลายเป็นการสร้างอาชีพและสัญลักษณ์ของจังหวัดไปได้อย่างน่าภาคภูมิ


