posttoday

ปิด(ชั่วคราว)โรงแรม ริตซ์ จนกว่าจะพบกันใหม่

14 พฤศจิกายน 2554

ท่านผู้อ่านหลายท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อโรงแรมริตซ์ (The Hotel Ritz) ซึ่งเป็นโรงแรมหรูยอดนิยมของบรรดาเศรษฐีและมหาเศรษฐีทั่วโลก

ท่านผู้อ่านหลายท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อโรงแรมริตซ์ (The Hotel Ritz) ซึ่งเป็นโรงแรมหรูยอดนิยมของบรรดาเศรษฐีและมหาเศรษฐีทั่วโลก

โดย...ฐาปนา 

ที่จะแวะพัก หรืออย่างน้อยก็แวะรับประทานอาหารเวลาที่ไปเที่ยวกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

คนที่เบี้ยน้อยหอยน้อยหน่อย ถ้าไม่มีสตุ้งสตางค์มากพอ แต่ได้แวะไปปารีส บางคนก็จะแอบไปแชะภาพเป็นที่ระลึกกันเล่นๆ

แต่หลังจากนี้ไปอีกไม่นาน ไม่ว่าจะรวยแค่ไหน ก็คงต้องงดเข้าไปใช้บริการของโรงแรมริตซ์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปีเศษ เพราะฝ่ายบริหารของโรงแรมได้ออกแถลงการณ์ว่า ต้องขออนุญาตแฟนๆ ทั่วโลกในการปิดตัวลงเป็นการชั่วคราว เพื่อทำการ “ยกเครื่อง” บูรณะโรมแรมครั้งใหญ่

ในแถลงการณ์บริษัทแจ้งว่า การปรับปรุงคราวนี้ถือเป็นโครงการบูรณะครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ของโรงแรมริตซ์ โดยจะเริ่มต้นการซ่อมแซมในฤดูร้อนปีหน้า และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 27 เดือนกว่าจะแล้วเสร็จ และเปิดโฉมใหม่สุดไฉไลออกมาให้ได้ยลกันอีกครั้ง

ระหว่างนี้ทางโรงแรมก็มีความจำเป็นที่จะต้องปลดพนักงานเกือบทั้งหมดออกไปพลางๆ ก่อน ก็คิดว่าหากกลับมาเปิดใหม่ ถ้าใครยังไม่มีงานทำ หรือมีงานใหม่ไปแล้ว แต่ยังอยากกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมริตซ์ ก็น่าจะได้โอกาสกลับมา

โรงแรมริตซ์ เป็นหนึ่งในโรงแรมเก่าแก่มีระดับ ก่อตั้งมานานเนตั้งแต่ปี 1898 หรือเมื่อ 113 ปีมาแล้ว โดยผู้ก่อตั้ง 2 ท่าน คือ Cesar Ritz และ Auguste Escoffier มีห้องหับบริการจำนวน 160 ห้อง และก่อนหน้านี้ เคยผ่านการบูรณะครั้งใหญ่มาแล้วใน 1979 หรือ 32 ปีก่อน และหลังจากนั้นก็ยังไม่ได้ทำการใหญ่อีก ดังนั้นการตัดสินใจปิดกิจการชั่วคราวเป็นเวลา 27 เดือนนี้ก็เป็นครั้งใหญ่ และเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์อันสำคัญของโรงแรมริตซ์

เหตุผลของการปรับตัวครั้งใหญ่นี้ สำนักข่าวหลายสำนักรายงานตรงกันว่า เป็นเพราะโรงแรมริตซ์ได้พลาดท่าครั้งใหญ่ ด้วยการไม่ได้รับเครื่องหมาย Palace หรือพระราชวัง ซึ่งหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของฝรั่งเศสได้ประกาศติดตรานี้ให้แก่โรงแรมที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วว่า เป็น “สุดยอดของสุดยอด” ในแดนน้ำหอม ซึ่งในตอนที่มีการประกาศให้ตรานี้ มีโรงแรมเพียง 8 แห่งทั่วประเทศที่ได้รับเกียรติให้ได้เครื่องหมายอันทรงคุณค่านี้ซึ่งเป็นเครื่องหมายการันตีว่า เป็นสุดยอดของประเทศในฐานะดินแดนแห่งความเลิศหรูอลังการ มีประเพณี วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ แบบที่ยากจะหาประเทศไหนมาเลียนแบบได้

ในขณะนั้นโรงแรมที่ผ่านการคัดสรรให้ได้รับเครื่องหมาย Palace ประกอบด้วย Meurice และ PlazaAthenee ของสุลต่านแห่งบรูไน Bristol ของนักธุรกิจชาวเยอรมนี The Park Hyatt Paris Vendome ในเครือไฮแอท Grand Hotel du Cap Ferrat LVMH’s Cheval Blanc Les Airelles และ L’Hotel du Palais

ในขณะที่โรงแรมที่ดังกระฉ่อนโลก อย่างโรงแรมริตซ์ถูกมองข้าม

แล้วจะอยู่เฉยได้ยังไง ว่าแล้วการประกาศปิดตัว 27 เดือนเพื่อปรับปรุงครั้งใหญ่นี้ก็เลยเกิดขึ้น เพื่อมั่งหวังคว้าตราเกียรติยศ Palace มาติดบ้างให้ได้

งานนี้คงต้องรอดูว่า หลังผ่าน 27 เดือนแห่งการอับแสงของริตซ์ไปชั่วขณะ โรงแรมเก่าแก่แห่งนี้จะได้รับการพิจารณาให้ได้ตราอันทรงเกียรตินี้หรือไม่ หรือจะลงทุนไปอย่างสูญเปล่า เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์

ย้อนไปที่ความเป็น “ริตซ์” อันว่าความหรูหราตระการตาของโรงแรมแห่งนี้ ต้องบอกว่า ไม่ใช่ย่อย เพราะคำว่า ริตซ์ ได้กลายมาเป็นคำศัพท์ใหม่คำหนึ่งในภาษาอังกฤษ คือ คำว่า “ริตซี” (Ritzy) ซึ่งมีความหมายถึงความหรูหรา หรูเริด อลังการ ดังนั้นการที่โรงแรมเก่าแก่อย่างริตซ์ ซึ่งมีความ Ritzy แต่ไม่ได้ตรา Palace จึงเป็นความขายหน้าอย่างที่สุด เพราะการพิจารณาขององค์การท่องเที่ยวที่ไม่อนุมัติตราให้นั้น ทำให้โรงแรมริตซ์กลายเป็นโรงแรมที่ “ไม่ Ritzy” ไปเสียแล้ว

เจ้าของคนปัจจุบันของโรงแรมริตซ์ก็คือ นักธุรกิจแสนล้านเชื้อสายอียิปต์ ชื่อที่คนไทยคุ้นกันดี คือ โมฮัมหมัด อัลฟาเยด คุณพ่อของโดดี พระสหายสนิทของ (อดีต) เจ้าหญิงไดอานา ซึ่งได้มารับประทานอาหารมื้อสุดท้ายร่วมกันที่โรงแรมแห่งนี้ ก่อนจะออกไปพบอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตของทั้งคู่ไปในปี 1997

คนดังที่เคยมาเป็นแขกของโรงแรมริตซ์ยังมีอีกมาก เช่น โคโค ชาแนล เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ และเชื้อพระวงศ์จากหลายประเทศ

หลังจากนี้ ทุกคนจะต้องอดทนรอไปอีกนานกว่า 2 ปี ถึงจะได้มาเป็นแขกของสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ และความหรูหราระดับโลกนี้อีกครั้ง จะได้รู้กันว่า โรงแรมริตซ์ จะยังเป็นต้นตำรับแห่งความ Ritzy ได้อีกหรือเปล่า

แต่ที่เห็นและแน่นอนก็คือ องค์กรการท่องเที่ยวของฝรั่งเศสนั้น เอาจริงเอาจัง เมื่อประกาศจะให้เครื่องหมาย Palace แต่โรงแรมที่คู่ควร ก็คัดสรรกันอย่างจริงจังว่าต้องดีพร้อม โดยไม่ได้เอาชื่อเสียง หรือความยิ่งใหญ่ของผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งมาเป็นตัววัด แต่วัดกันจากความคู่ควรที่แท้จริง เรียกว่าใหญ่มาจากไหนก็ไม่สน หากไม่เข้าขั้นก็ไม่ให้

อันว่าเครื่องหมาย Palace นี้ เป็นเครื่องหมายที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวฝรั่งเศสมุ่งหวังจะใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ “กระเป๋าหนัก” และตอนนี้ แม้เศรษฐกิจจะตกสะเก็ดไปทั่วโลก แต่สำหรับบรรดาเศรษฐีแล้ว ยังไม่เสียขนหน้าแข้งกันไปมากเท่าไหร่ ก็เลยยังจองโรงแรมที่มีตรา Palace กันเรื่อยๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์อันหรูเริดของแต่ละคน

ดังนั้น หากโรงแรมริตซ์พลาดก็คงจะโดนแย่งลูกค้าไปมากโขอยู่ การยอมปิดปรับปรุงนานกว่า 2 ปี จึงเป็นการเดิมพันที่สูงมาก ที่สำคัญ เป็นการทำให้เราได้เห็นหลักการที่ชัดเจนของการทำธุรกิจโดยไม่ได้ “เล่นเส้น” แต่เล่นกันที่คุณภาพ ทุกคนต้องยอมรับ และทำตามโดยไม่สามารถโต้แย้ง

นี่แหละจึงจะทำให้ธุรกิจพัฒนา

 

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมซีเกมส์ 2025 วันนี้ 14 ธ.ค. 68 ลิ้งก์ดูสด ถ่ายทอดสดช่องไหน