พิสูจน์ เชฟโรเลต โคโลราโดใหม่ แรง ใหญ่ นุ่ม
ลองขับ กระบะสัญชาติอเมริกัน อย่างเชฟโรเลต โคโลราโดใหม่ กับขุมพลัง 180 แรงม้า!!
ถือเป็นกระบะรุ่นใหม่ตั้งแต่ หัว จรดปลายเป้า รุ่นล่าสุด แห่งวงการรถยนต์ในขณะนี้ นั่นคือ เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่ ที่ใช้เครื่องยนต์ตัวใหม่คือ 2.5 และ 2.8 ลิตร มีดีอย่างไร ติดตามได้เลย ครับ
โดย...นิธิ ท้วมประถม
ในที่สุดบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม ก็คลอดรถกระบะ เชฟโรเลต โฉมใหม่ ที่ยังคงใช้ชื่อ “โคโลราโด” เหมื่อนเดิมแต่เติมคำว่า "ใหม่" ต่อท้ายเอาไว้เสียหน่อย ออกสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว
ซึ่งเจ้าโคโลราโดนี้ ถือว่าเป็นรถกระบะที่จีเอ็ม ออกแบบเองทุกกระเบียดนิ้ว ไล่ไปตั้งแต่ ตัวถัง ภายใน ช่วงล่าง ยันถึง เครื่องยนต์ เลยทีเดียว ทำให้ จีเอ็ม มั่นใจว่า เชฟโรเลต โคโลราโด นี้จะสามารถตอบสนองการใช้งานของลูกค้าคนไทยได้อย่างลงตัว แต่จะลงตัวมากน้อยแค่ไหน ผมต้อง “ขอลอง” เสียหน่อยครับ
รูปร่างหน้าตาภายนอกของ เชฟโรเลต โคโลราโด ต้องบอกว่า บึกบึนไม่น้อยครับ แถมยังดูใหญ่โตอีกเสียด้วย จะไม่ใหญ่ยังไงละครับ ก็ฐานล้อของโคโรลาโดนั้นยาวถึง 3,096 มม.และกว้างถึง 1,510 มม. ถือว่าใหญ่มากครับ เมื่อเทียบกับรถกระบะยี่ห้ออื่นๆ ที่ขายอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากความใหญ่โต แล้วสิ่งที่สะดุดตาอีกอย่างคือ โคมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์รูปทรงเรียวๆ แบบมีหางตา กระจังหน้าสองชั้นที่เรียกว่า “ดูอัลพอร์ท” ล้อมกรอบโครเมียม นี่ก็ทำให้ดูเป็น “แมน” ขึ้นพอตัว แต่ส่วนตัวแล้วผมชอบ โคโรลาโด รุ่นแรกที่เป็นไฟหน้า 2 ชั้นมากกว่า เพราะรุ่นนั้นแหละที่ผมยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า แมน จริงๆ
ส่วนบั้นท้ายนั้น แปลกตาด้วยไฟท้ายแนวตั้งเป็นแบบแอลอีดี แน่นอนว่ากลางคืนสว่างแน่ แต่ถ้าถูกชนท้ายก็แพงแน่ครับ หลอดแบบนี้ เดินมองรอบๆ ก็เห็นความแตกต่างระหว่างรุ่น LTZ หรือรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีไฟตัดหมอกทรงเหลี่ยมแบบมีของโครเมี่ยม แถมด้วยล้ออัลลอยด์และยางขนาด 17 นิ้ว รับกับโป่งซุ้มล้อทั้งด้านหน้า-หลัง ยิ่งอยากขึ้นไปนั่งให้เท่ๆ จริงๆ แต่หากเป็นรุ่น LT หรือขับเคลื่อน 2 ล้อ ขนาดยางก็จะเป็นขอบ 16 นิ้วแทน
มาดูภายในกันบ้างดีกว่า ก้าวขึ้นมาในห้องโดยสารสิ่งแรกที่รู้สึกได้คือความ “กว้างขวาง” ของโคโลราโด ที่บอกได้ว่าเหลือเฟือ ทั้งๆ ที่รุ่นทื่ผมขับนั้นเป็นรุ่น Extended Cab หรือ 2 ประตู ที่มีแคปเปิดได้ในลักษณะเปิดบานตู้กับข้าว แถมแคปยังเปิดกว้างได้ตั้ง 90 องศา เข้าออกสบายๆ
ไล่สายตามองไปตามแผงคอนโซล ก็ต้องแปลกใจว่าการคอนโซลและอุปกรณ์ต่างๆ ของโคโรลาโด นั้นดูหรูหรา ทันสมัยไม่น้อยทีเดียว ซึ่งทางจีเอ็มบอกว่า ภายในของโคโลราโด นั้นเอาแบบมาจาก เชฟโรเลต คอร์เวท รถสปอร์ตตัวแม่ในตำนานของเชฟโรเลต เลยทีเดียว
แผงคอนโซลในรุ่น LTZ ใช้สีทูโทนสีเบจ มาตรวัดเรืองแสง มีจอแสดงข้อมูลการเดินทาง หรือ Data Information Center (DIC) สีฟ้าอ่อนดูเย็นตาดี แต่ที่แปลกๆ คือคอนโซลกลาง ติดตั้งสวิทช์ทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งในรุ่นท็อปปุ่มนี้คือปุ่มควบคุมระบบแอร์อัตโนมัติ แต่หากเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ปุ่มปรับอุณหภูมิ และปรับพัดลมก็เป็น 2 ปุ่มที่คอนโซลกลางเหมือนอย่างปกติ และหากเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็จะมีเจ้าปุ่มกลมๆ อยู่แถวเบรกมือ สำหรับปรับระบบขับเคลื่อน ให้เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD Hi/ 4WD Lo ตามที่เราต้องการ
หันมามองพวงมาลัย ก็มาแบบเต็มๆ แล้วครับ เพราะเป็นพวงมาลัย 3 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่น มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติให้ด้วย เอาให้เต็มทีไปเดี๋ยวนี้ รถกระบะชักจะเหมือนกับรถเก๋งไปทุกทีแล้ว
มาดูเรื่องเครื่องยนต์ที่เป็นหัวใจของ เจ้าโคโลราโดใหม่นี้ดีกว่าครับ รุ่นที่ผมขับนั้นคือ LTZ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ครับ ซึ่งเครื่องยนต์ของ โคโลราโด นั้นมีให้เลือก 2 ขนาดคือ 2.5 ลิตรและ 2.8 ลิตรเท่านั้น ซึ่งเครื่องยนต์ทั้ง 2 ขนาดนี้ผลิตขึ้นที่โรงงานจีเอ็ม จังหวัดระยอง ครับ เสียงเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร เป็นบล็อก 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว คอมมอนเรลไดเรคอินเจคชั่น พร้อมเทอร์โบ แปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ ดังกระหึ่มขึ้นมาทันทีที่สตาร์ท มาลองนั่งฟังดูแล้ว ก็ไม่ได้ดังอะไรมากมายครับถือว่าผ่านทีเดียว
มองไปที่คันเกียร์ ก็ต้องแปลกใจเพราะเกียร์อัตโนมัติของ โคโลราโด นั้นมีตำแหน่ง + - ติดตั้งไว้ด้วย นั่นหมายความว่ามีระบบทริปโทรนิค หรือระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติ ซึ่งถือว่าเป็นรถกระบะรุ่นแรกที่มีระบบเกียร์แบบนี้ครับ สบายแล้วอย่างนี้ขึ้นเขาลงเขาแบบไม่ต้องแคร์ใครแล้ว
ลองกดคันเร่งดู ผมยังรู้สึกว่าเจ้าโคโรลาโดใหม่นี้ ออกตัวช้าไปนิด แต่พอเลยช่วงออกตัวละก็ อูย.....หลังติดเบาะเหมือนกัน ถือว่าม้า 180 ตัวที่ 3,800 รอบ/นาที ทำงานได้น่าปรบมือให้ และยิ่งต้องปรบมือให้กับ อัตราเร่งแซงที่ทำได้ดีมาก ซึ่งก็ต้องยกความดีให้กับแรงบิดของเครื่องยนต์รุ่นนี้ ที่สูงถึง 470 นิวตัน-เมตรที่รอบต่ำเพียง 2,000 นาที ทำให้การเร่งแซงทำได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดทีเดียว
โฉมหน้า เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 180 แรงม้า
และเจ้าแรงบิดสูงที่รอบต่ำนี้ยังทำงานได้อย่างดี เมื่อช่วงต้องขับขึ้นเขา บนเส้นทางดอยตุง แม่สลอง ได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมคาคันเร่งไว้ที่รอบเครื่องยนต์ ยังไม่ถึง 2000 รอบต่อนาที รถก็ขับขึ้นเขาชันๆ ได้อย่างสบายเลยทีเดียวครับ
แถมเกียร์อัตโนมัติ ของเชฟโรเลตโคโลราโด นั้นยังมีตั้ง 6 เกียร์ ซึ่งเชื่อว่าหากวิ่งทางไกลน่าจะประหยัดน้ำมัน แต่ผมยังไม่มีโอกาสครับ เอาไว้โอกาสหน้าได้ลองขับไกลๆ อีกสักครั้ง จะรีบมาบอกท่านผู้อ่านครับ
ขณะที่ส่วนช่วงระบบช่วงล่างที่หลายคนอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ผมบอกตรงนี้ได้เลยว่า ช่วงล่างนุ่มนวลมากครับ ทั้งๆ ที่เป็นรุ่น flex cab หรือ แคป เปิดได้ ที่ธรรมดาแล้วต้องกระเด้งกระดอนกันไม่น้อย แต่เชฟโรเลต โคโลราโด นี้ลบความทรงจำในเรื่องของความกระด้างออกไปได้อย่างหมดสิ้นจริงๆ ครับ ขอโค้งคารวะกับการออกแบบช่วงล่างที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
การทรงตัว และพวงมาลัย ไว้ใจได้ ไม่ต้องกังวลว่าพวงมาลัย หรือช่วงล่างจะสร้างความลำบากใจให้แม้ว่าจะขับด้วยความเร็วสูง เพราะระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกสองชั้น พร้อมทอร์ชั่นบาร์และโช้กอัพแก็ส ขณะที่ด้านหลังใช้แบบลีฟสปริง แป้นรูปครื่งวงรีใช้วัสดุทำด้วยเหล็กกล้า พร้อมโช้กอัพแก็ส นั้นไว้ใจได้ครับ
สนนราคา ที่ 4.97-9.98 แสนบาท กับความสามารถและออปชั่น ที่มาเต็มๆ อย่างนี้ ผมว่าเจ้าตลาดรถกระบะ มีเหนื่อยแน่คราวนี้


