ศุภชัย เจียรวนนท์ คอนเวอร์เจนซ์เพื่อเติมเต็มชีวิต
หลายๆ คนได้ยินคำว่า “คอนเวอร์เจนซ์” กันมา 34 ปีแล้ว
หลายๆ คนได้ยินคำว่า “คอนเวอร์เจนซ์” กันมา 34 ปีแล้ว
โดย...พรหมเมศร์ ศิริสุขวัฒนานนท์
หลายๆ คนได้ยินคำว่า “คอนเวอร์เจนซ์” กันมา 34 ปีแล้ว โดยคนแรกที่เอามาใช้อย่างเป็นทางการและกลายเป็นภาพลักษณ์ของบริษัทไปคือ ทรู คอร์ปอเรชั่น ภายใต้การนำทัพของ ศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร ที่พัฒนาทรูจนกลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่มีบริการครอบคลุมวิถีชีวิตดิจิตอล ทั้ง ทรูมูฟ ให้บริการมือถือ ทรูออนไลน์ ให้บริการอินเทอร์เน็ต ทรูวิชั่นส์ บริการเคเบิลและทีวีดาวเทียม ทรูมันนี่ สำหรับการจ่ายเงินแบบไมโครเพย์เมนต์ และสุดท้ายคือ ทรูไลฟ์ ที่ดูแลบริการเชิงไลฟ์สไตล์อื่นๆ ทุกอย่างหลอมรวมกัน แต่นั่นยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ศุภชัย กล่าวยืนยันว่า ทิศทางที่ทรูเดินมานั้นถือว่าถูกต้องแล้ว โดยช่วงแรกหลายๆ คนอาจยังมองไม่เห็นภาพรวมของการให้บริการที่ครบวงจร แต่ตอนนี้ทรูอยู่ในตำแหน่งที่ดี มีบริการทุกอย่างครบที่จะเรียกว่าคอนเวอร์เจนซ์ได้ ยิ่งเห็นแนวโน้มทั่วโลกที่มุ่งไปสู่โมบายบรอดแบนด์และบริการดาตามากขึ้น ยิ่งมั่นใจว่าทรูกำลังก้าวไปอย่างมั่นคง
นอกจากนี้ หากมองการแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคมปัจจุบัน จะเห็นว่าเป็นไปอย่างรุนแรงและผลกำไรก็น้อยลงทุกที เป็นเช่นนี้ทั่วโลก และหนทางที่ธุรกิจจะอยู่รอดได้คือ การสร้างคอนเทนต์และแอพพลิเคชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ ซึ่งการจะพัฒนาไปสู่จุดนั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนบริการที่มีอยู่เป็นแพลตฟอร์ม หรือมีรูปแบบของบริการที่สามารถเข้าถึงได้ชัดเจน ไม่ใช่เป็นแค่การให้บริการช่องสัญญาณหรือแบนด์วิดท์แบบที่เป็นอยู่ ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนกับไอโฟนที่ไม่ได้ขายแค่เครื่องโทรศัพท์ แต่สามารถขายคอนเทนต์และแอพพลิเคชันผ่านไอจูนและแอพสโตร์ ซึ่งสร้างรายได้สร้างระบบอีโคซิสเต็มส์อย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น การสร้างมูลค่าเพิ่มต่อไปของกลุ่มทรูคือ การเป็นผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซที่สามารถเต็มเติมความต้องการในชีวิตของผู้บริโภคได้ จุดนี้จะทำให้ความเป็นคอนเวอร์เจนซ์ของทรูเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้มากขึ้น ผู้บริโภคสามารถเลือกรับข้อมูลได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทันทีถ้าต้องการ แสดงว่าบนทีวีจะต้องมีช่องทางการขายแบบอินเตอร์แอคทีฟ โดยอาจมีการใช้รหัสคิวอาร์โค้ด เพื่อเชื่อมต่อสินค้าดังกล่าวมาที่โฆษณาบนโทรศัพท์มือถือ หรือต่อเข้าอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ตทีวี และยังสามารถเก็บเป็นข้อมูลสำหรับรับข่าวสารต่างๆ ผ่านทางเอสเอ็มเอสหรืออีเมลได้ตลอดเวลา ส่วนช่องทางออนไลน์ทรูมีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ วีเลิฟช็อปปิ้งอยู่แล้ว มีสินค้าขายหลักล้านรายการ มียอดธุรกรรมกว่า 4,000 ล้านบาท และสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมให้ทรูกว่า 400 ล้านบาทต่อปี ถือว่ายังน้อยและยังเติบโตได้อีกมาก ซึ่งเชื่อว่าต่อจากนี้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดแน่นอน
และแน่นอนว่าทุกส่วนจะต้องเชื่อมต่อมายังโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์สมาร์ตดีไวซ์อื่นๆ เพื่อเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้สะดวกและง่ายยิ่งกว่าเดิม และยังต้องเชื่อมต่อกับระบบขนส่งโลจิสติกส์เพื่อให้สินค้าไปถึงมือผู้บริโภค จุดนี้อาจมีการจับมือพันธมิตรกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในอนาคต ทั้งหมดจะทำให้ทรูกลายเป็นผู้ให้บริการที่สามารถเต็มเติมความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
“ยิ่งการให้บริการบรอดแบนด์เติบโตมากเท่าไร พฤติกรรมของผู้บริโภคก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้มีบรอดแบนด์ทั่วไทยกว่า 3 ล้านครัวเรือน จาก 19 ล้านครัวเรือน แสดงว่ายังเติบโตได้อีกมาก การมี 3จี ถือเป็นโมบายบรอดแบนด์ที่จะทำให้การขยายตัวเร็วขึ้น มือถือและทีวียังไม่มีอีคอมเมิร์ซ และทรูจะทำให้เกิดขึ้น”
ด้านเป้าหมายของทรู จากการลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาทจากนี้ไป จะเพิ่มจำนวนผู้ใช้บรอดแบนด์ตามบ้านอีก 8 แสนราย รวมเป็น 2 ล้านราย ภายใน 3 ปี และมีผู้ใช้โมบายบรอดแบนด์ 1 ล้านรายในปีนี้ และเพิ่มเป็นกว่า 4 ล้านรายใน 3 ปีเช่นกัน เป้าหมายนี้ถือว่าเป็นไปได้ ขณะที่โทรศัพท์มือถือประมาณ 3 ล้านเครื่อง จะเป็นสมาร์ตโฟน จะทำให้จากตลาดรวมทั้งหมดกว่า 65 ล้านราย จะมีมือถือที่พร้อมใช้บริการ 3จี ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านเครื่องในปีหน้า นั่นคือกลุ่มเป้าหมายสำคัญของทรู ซึ่งในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นสมาร์ตโฟน 80% หรือกว่า 50 ล้านเครื่อง
ศุภชัย มั่นใจว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้ามีโอกาสมากที่ทรูจะก้าวขึ้นเป็นที่ 2 หรืออย่างน้อยเทียบเท่าจากเงื่อนไขการลงทุน 3จี ที่เกิดในปีนี้ ทำให้โอกาสของทรูดีขึ้น เนื่องจากการมี 3จี ทำให้ทรูขยับขึ้นมายืนเท่าเทียมกัน ไม่เสียเปรียบอีกแล้ว จากเดิมในยุค 2จี ที่ทรูเป็นผู้ให้บริการเบอร์ 3 แบบมีข้อจำกัด ด้อยกว่าในทุกประตู ตั้งแต่การเริ่มต้นที่ช้ากว่าผู้ให้บริการรายอื่น การถอนทุนของออเร้นจ์ที่ทำให้ไม่สามารถขยายทุนได้ หรืออายุสัญญาสัมปทานที่สั้นกว่าทำให้การลงทุนไม่คุ้มค่า
“การที่เราได้สัญญาให้บริการ 3จี ทำให้เรามีเวลาอีก 15 ปี ความคล่องในการจัดการด้านการเงินจึงทำได้เต็มที่ เรียกว่าผู้ให้บริการทุกรายเริ่มต้นพร้อมๆ กัน โอกาสในการมีส่วนแบ่ง 1 ใน 3 หรืออาจมีส่วนแบ่งถึง 40% จึงเป็นไปได้มาก เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งด้านคอนเวอร์เจนซ์ที่เรามีอยู่ นี่คือโอกาสที่ดีของทรู”
สำหรับเป้าหมายของทรูวิชั่นส์ จากปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 2 ล้านราย ตั้งเป้าเพิ่มอีก 5 แสนราย ภายใน 3 ปี ในส่วนของเคเบิลทีวี ซึ่งจะต้องพัฒนาบริการเป็นดับเบิลเพลย์ คือใช้งานได้ทั้งทีวีและอินเทอร์เน็ต ขณะที่ทีวีดาวเทียมจะเน้นการขายขาด ตั้งเป้ามีลูกค้าเพิ่มไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นรายต่อเดือน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 หมื่นรายต่อเดือน และจะมีการพัฒนาทีวีระบบ HD ทั้งเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม
ศุภชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า ตามแผนการลงทุนและให้บริการของทรู เชื่อว่าในปีหน้าภาพรวมรายได้มีโอกาสแตะแสนล้านบาท โดยโทรศัพท์มือถือจะเติบโตมากที่สุด 2530% บรอดแบนด์และเคเบิลทีวีจะเติบโตตามมา และภาพรวมบริษัทจะเติบโตประมาณ 20% ทั้งกลุ่ม
มีทางเดียวที่จะพิสูจน์สิ่งที่ศุภชัยยืนยันว่าทรูเดินมาถูกทางแล้ว จะเป็นจริงได้หรือไม่ นั่นคือ การ “รอ” เท่านั้น


