ทายาทชาละวันบุกกรุงลุยค้าปลีก-ปั้นไวน์ไทยโกอินเตอร์
เปิดตัวกับสื่อไม่บ่อยครั้งนัก สำหรับ บงกชรัตน์ ขจรประศาสน์ ทายาทคนโตนักการเมืองคนดัง “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
เปิดตัวกับสื่อไม่บ่อยครั้งนัก สำหรับ บงกชรัตน์ ขจรประศาสน์ ทายาทคนโตนักการเมืองคนดัง “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล
เปิดตัวกับสื่อไม่บ่อยครั้งนัก สำหรับ บงกชรัตน์ ขจรประศาสน์ ทายาทคนโตนักการเมืองคนดัง “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ โดยวันนี้ บงกชรัตน์ ได้ก้าวเข้ามาบริหารธุรกิจอย่างเต็มตัว พร้อมรั้งตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สนามบินน้ำ มาร์เก็ตพาร์ค และบริษัท ชาละวัน ไวน์เนอรี่ ธุรกิจหลักในกลุ่มขจรประศาสน์
บงกชรัตน์ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจสนามบินน้ำ มาร์เก็ตพาร์ค ถือเป็นการจับโครงการค้าปลีกแห่งแรก ที่พัฒนาขึ้นจากที่ดิน 10 ไร่ผืนเดิมในธุรกิจสนามไดรฟ์กอล์ฟของครอบครัว ในย่านสนามบินน้ำ จ.นนทบุรี หลังเกิดอุบัติเหตุเสาในโครงการโค่นล้มจากเหตุพายุฝนรุนแรง และก่อให้คนในชุมชนย่านดังกล่าวเกิดความไม่สบายใจ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้กลุ่มขจรประศาสน์ตัดสินใจใช้งบกว่า 100 ล้านบาท พัฒนาเป็นโครงการค้าปลีกชุมชน หรือคอมมูนิตี มอลล์ ที่มีจุดเด่นแตกต่างไปจากตลาดอื่นๆ ทั่วไป คือ เป็นการผสมผสานระหว่างตลาดสดและตลาดสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกัน
ภายในโครงการจะมีทั้งแผงร้านค้าทุกประเภท ทั้งของสดและของแห้งกว่า 280 แผงในตลาดสด และร้านค้าต่างๆ ทั้งร้านอาหาร แฟชั่น ฯลฯ รายรอบตลาดสดร่วม 30 ร้าน โดยเปิดให้บริการไปเมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ยังเตรียมขยายต่อเฟส 2 ที่จะพัฒนาพื้นที่ชั้น 2 ของโครงการให้บริการด้านสถาบันการศึกษา โรงเรียนประเภทต่างๆ ในอนาคตด้วย
บงกชรัตน์ กล่าวว่า แนวคิดการพัฒนาโครงการนี้เพื่อตอบรับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่ปัจจุบันพบว่านิยมจับจ่ายซื้อสินค้าและรับประทานอาหารสำเร็จรูปนอกบ้านมากขึ้น จากกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคในย่านดังกล่าว และครอบคลุมรัศมีใน 10 กม. ที่กลุ่มคนมีรายได้สูงขึ้น รวมถึงกลุ่มพนักงานเอกชน และข้าราชการในศูนย์ราชการใหม่ บนถนนแจ้งวัฒนะด้วย
ขณะที่พื้นที่ค่าเช่าในโครงการสนามบินน้ำมาร์เก็ตจะไม่สูงมากนักเพื่อดึงดูดกลุ่มร้านค้าให้เข้ามาเปิดให้บริการ และตั้งราคาขายสินค้าที่ไม่แพงนัก เน้นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มระดับเอ สัดส่วน 15% กลุ่มบี 30% ที่เหลือ 55% เป็นกลุ่มซี
ในช่วงแรกบริษัทวางแผนการตลาดผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องเกือบทุกสัปดาห์ รวมถึงกิจกรรมเด่นที่แตกต่างไปจากคอมมูนิตี มอลล์ อื่นๆ ทั่วไป คือ กิจกรรมด้านศาสนา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างครอบครัวและชุมชน ซึ่งบริษัทวางเป้าคืนทุนโครงการภายใน 10 ปี
นอกจากธุรกิจค้าปลีกโครงการ “สนามบินน้ำมาร์เก็ต” แล้ว บงกชรัตน์ ยังสนใจในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลุ่มไวน์ ภายใต้แบรนด์ “ชาละวัน” (Shala One) อีกหนึ่งธุรกิจของตระกูลขจรประศาสน์ ที่เกิดจากความรักในการดื่มไวน์ของ “เสธ.หนั่น” ผู้เป็นบิดา ที่ดำเนินการเพาะปลูกไร่องุ่นในพื้นที่กว่า 200 ไร่ ใน จ.พิจิตร มานานร่วม 10 ปี
ขณะเดียวกัน ยังมุ่งต่อยอดธุรกิจไร่องุ่นแห่งนี้ ด้วยการพัฒนาโครงการที่พักรีสอร์ตขนาดย่อม เพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่เข้าไปเยี่ยมชมและชิมไวน์องุ่นในไร่ชาละวันด้วย
หลังจากหมักบ่มธุรกิจไวน์ในไร่ชาละวันมาตั้งแต่ปี 2544 จนถึงวันนี้ บงกชรัตน์ บอกว่าถึงเวลาที่จะทำตลาดไวน์แบรนด์ชาละวันอย่างเป็นทางการ ในฐานะไวน์ไทยคุณภาพเทียบชั้นสากล ในราคาที่เข้าถึงได้อยู่ที่ 550-700 บาท เพื่อจับกลุ่มคนรักไวน์และขยายฐานกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่สนใจทดลองดื่มไวน์
กลยุทธ์การทำตลาดช่วงแรกจะเป็นการเข้าไปแนะนำผลิตภัณฑ์ไวน์ชาละวันในร้านอาหารไทย เพื่อจับคู่รสชาติผลิตภัณฑ์ไวน์ไทยที่เหมาะสมกับอาหารไทยรสชาติจัดจ้านเมนูต่างๆ รวมถึงช่องทางในโรงแรมต่างๆ
นอกจากนี้ โครงการสนามบินน้ำมาร์เก็ต จะเป็นอีกหนึ่งประตูสำคัญในการแนะนำ “ไวน์ชาละวัน” ให้เป็นที่รู้จัก จากการเปิดร้าน “ไวน์ชาละวัน ไวน์ แอนด์ บาร์” เป็นสาขาแรก ในเดือน ก.ย.นี้ ควบคู่กับการให้ความรู้ผลิตภัณฑ์ไวน์ไทยที่มีรสชาติดี จากผลองุ่นที่ปลูกในไร่ภาคกลางตอนบนของประเทศ
บงกชรัตน์ ยังมองเป้าหมายอนาคตในระยะยาว ด้วยการนำพาไวน์แบรนด์ “ชาละวัน” ขึ้นชั้นสู่ไวน์ไทยในระดับโลก หรืออินเตอร์เนชันแนล แบรนด์ ทั้งจากการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันสัดส่วนกำไรที่ได้จากธุรกิจไวน์จะไม่มากนัก
“การทำตลาดเชิงรุกนับจากนี้จะทำไวน์ชาละวันให้สร้างอีกหนึ่งรายได้หลักให้กับบริษัทในอนาคต ด้วยการวางจำหน่ายในร้านไวน์ต่างๆ มากขึ้น พร้อมกระจายสินค้าไปยังช่องทางค้าปลีกใหม่ๆ โดยในอีก 2 ปี ไวน์แบรนด์ชาละวันจะรุกเข้าเซเว่น อีเลฟเว่น ควบคู่กับการพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามารองรับตลาดด้วย” บงกชรัตน์ กล่าว
ปัจจุบันตลาดรวมไวน์ในประเทศแบ่งสัดส่วนเป็นไวน์ไทย 10% และไวน์แบรนด์ต่างชาติ 90% โดยมีผู้ประกอบการไวน์ไทย อาทิ กลุ่มขจรประศาสน์ ชาโต้ เดอเลย สยามไวน์เนอรี่ เป็นต้น
สิ่งท้าทายที่สุดสำหรับ บงกชรัตน์ ในการเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัวกลุ่มขจรประศาสน์ คือ การพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจท่ามกลางคู่แข่ง และภาวะการแข่งขันที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง “ความแตกต่าง” ของธุรกิจและ “บริการ” ถือเป็นอาวุธสำคัญในการแข่งขันในวันนี้


