ดร.วีระยุทธ แคนดิเดตนายกฯพรรคประชาชน พาไทยสู่มาตรฐานโลกใหม่
จากเด็กโรงเรียนวัดสู่แคนดิเดตนายกฯ พรรคประชาชน ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร นักวิชาการที่ละทิ้งชีวิตมั่นคงในญี่ปุ่น เพื่อกลับมาเปลี่ยนประเทศผ่านอุดมการณ์ “ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก”
KEY
POINTS
- ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 3 ของพรรคประชาชน เป็นนักวิชาการที่มีประสบการณ์กว่า 12 ปีในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่มาของวิสัยทัศน์ในการยกระดับมาตรฐานประเทศไทย
- รับผิดชอบยุทธศาสตร์ "ไทยทันโลก" ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของพรรค มุ่งเป้าผลักดันไทยให้เป็นประเทศรายได้สูงและทัดเทียมนานาชาติ ผ่านการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและคอร์รัปชัน
- แม้จะสนับสนุนแคนดิเดตลำดับแรก แต่ก็เตรียมพร้อมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหากสถานการณ์บังคับ เพื่อนำพาประเทศด้วยคุณสมบัติผู้นำยุคใหม่ที่คิดเป็นระบบและกล้าชนปัญหา
เส้นทางชีวิตที่พาให้มองเห็น ‘ไทยที่ดีกว่า’
การปรากฏตัวของ ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์ 3 ของพรรคประชาชน กลายเป็นจุดสนใจสำคัญของการเลือกตั้งครั้งใหม่ พรรคสีส้มยุคปัจจุบันกำลังเร่งผลักดันความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ขณะที่การมาของเขาเพิ่ม “มิติวิชาการและมาตรฐานสากล” ให้การเมืองไทยอย่างชัดเจน นักวิจัยผู้เคยใช้ชีวิตกว่า 12 ปีในญี่ปุ่นกำลังวางโจทย์ใหญ่ว่า ประเทศไทยควรเดินหน้าไปสู่ประเทศรายได้สูงอย่างไรในโลกการแข่งขันใหม่ที่ไม่รอใคร
เส้นทางชีวิตของเขาเริ่มต้นจาก “โรงเรียนวัด” และการวิ่งขึ้นลงรถเมล์อย่างเด็กชาวบ้านธรรมดา ความลำบากในวัยเด็กกลายเป็นประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในความคิด ตั้งแต่การเรียนวิศวกรรม การทำงานโรงงานเห็นยอดสั่งซื้อผันผวน จนตั้งคำถามกับระบบเศรษฐกิจไทย เขาตัดสินใจเรียนต่อเศรษฐศาสตร์ที่จุฬาฯ ก่อนขยับสู่ปริญญาเอกในอังกฤษ และก้าวสู่ตลาดแรงงานระดับสากลในญี่ปุ่น สอนนโยบายสาธารณะทั้งระดับปริญญาโทและเอกที่ GRP University พร้อมซึมซับวิธีคิดแบบละเอียดรอบคอบและมาตรฐานญี่ปุ่นที่เป็นระบบ
กว่า 11–12 ปีในญี่ปุ่น เขาได้เห็นถนนที่เรียบ มาตรฐานร้านอาหารที่เข้มงวด พ่อแม่ขี่จักรยานพาลูกไปโรงเรียนอย่างปลอดภัย ทุกอย่างสะท้อนให้เห็นว่า “ไทยสามารถดีกว่านี้ได้” หากลงมือวางระบบให้ถูกที่ ถูกวิธี ความสงสัยว่าทำไมเกาหลีใต้ก้าวสู่ประเทศรายได้สูง ขณะที่ไทยยังติดกับดักรายได้ปานกลาง กลายเป็นแรงขับสำคัญของการศึกษานโยบายสาธารณะ และท้ายที่สุด กลายเป็นแรงผลักให้เขาหันกลับมามองบ้านเกิดด้วยสายตาใหม่สายตาที่เห็นทั้งปัญหาและความเป็นไปได้
จากนักวิชาการสู่การเมือง: จังหวะที่ต้องลงมือเอง
ดร.วีระยุทธ เริ่มเข้ามาอยู่เบื้องหลังการเมืองตั้งแต่ยุคก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ปี 2561 ในฐานะที่ปรึกษาด้านนโยบาย ช่วยร่างประเด็นอภิปราย ช่วยวางวิสัยทัศน์ และขับเคลื่อนอุดมการณ์แบบ Social Democracy ที่มองลึกกว่าการเมืองเชิงประชาธิปไตยทั่วไป เพราะต้องตอบโจทย์ใหญ่ทั้งความเหลื่อมล้ำ โครงสร้างเศรษฐกิจผูกขาด และอำนาจรัฐที่บิดเบี้ยว เขามักกล่าวเสมอว่า นักการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนประเทศ ต้อง “เข้าใจเศรษฐกิจจริง” ไม่ใช่เพียงระบบสัมปทานและอุปถัมภ์ แต่ต้องเข้าใจโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการส่งออก.
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2567 เมื่อพรรคก้าวไกลถูกยุบ และพรรคประชาชนถือกำเนิดขึ้น เขาตัดสินใจครั้งใหญ่ ลาออกจากงานวิชาการในญี่ปุ่นเพื่อกลับมาทำการเมืองแบบเต็มตัว เพราะเห็นว่านี่คือจังหวะสำคัญที่บ้านเมืองต้องการคนที่มีความรู้พร้อมลงมือ ไม่ใช่เพียงยืนอยู่วงนอกให้คำปรึกษา โลกกำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แต่ประเทศไทยยังติดปัญหาเชิงโครงสร้างแบบเดิม และเขามั่นใจว่าประสบการณ์ต่างประเทศของเขาจะช่วยเติมสิ่งที่ขาดในระบบการบริหารไทยได้.
ในพรรคประชาชน เขารับผิดชอบยุทธศาสตร์ “ไทยทันโลก” หนึ่งในสามเสาหลักของพรรค คู่กับ “ไทยไม่เทา” ที่มุ่งทำลายเศรษฐกิจสีเทาและการเมืองสีเทา ซึ่งนำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และ “ไทยเท่ากัน” ที่ขับเคลื่อนการปฏิรูปกลไกรัฐโดย คุณไหม สิริกัญญา โครงสร้างนี้สะท้อนภาพพรรคที่ต้องการสร้างประเทศบนมาตรฐานใหม่ โปร่งใส เท่าเทียม และทัดเทียมโลก เพื่อให้ไทยก้าวพ้นวงจรเดิมที่ผูกขาดการพัฒนาไว้กับคนไม่กี่กลุ่ม.
ความพร้อมรับสถานการณ์ใหม่ และโจทย์ใหญ่ ‘ไทยทันโลก’
แม้เขาจะประกาศชัดเจนว่า “นายณัฐพงษ์ คือแคนดิเดตนายกฯ ที่เหมาะสมที่สุดกับบริบทปัจจุบัน” แต่ความเป็นจริงทางการเมืองกลับซับซ้อนกว่านั้น แคนดิเดตเบอร์หนึ่งและสองต่างมีเงื่อนไขด้านคดีความที่อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของการเมือง ดังนั้น ในฐานะแคนดิเดตเบอร์สาม เขาจึงต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ เผื่อกรณีที่สถานการณ์บังคับให้ต้องก้าวขึ้นมารับหน้าที่สูงสุดของฝ่ายบริหารเมื่อใดก็ตาม ความพร้อมนี้ไม่ได้เกิดจากความทะเยอทะยานส่วนตัว แต่เกิดจากความจำเป็นของโครงสร้างการเมืองไทยที่แปรผันได้ตลอดเวลา.
ดร.วีระยุทธ เชื่อว่าปัญหา 70% ของประเทศไทยคือ “คอร์รัปชันเชิงระบบ” หรือ “ช่อราษฎร์ บังหลวง” สิ่งที่พรรคประชาชนมี และคู่แข่งไม่มีคือ “ความบริสุทธิ์ทางอำนาจ” เพราะไม่เคยอยู่ในรัฐบาล ไม่เคยมีอำนาจต่อรองผลประโยชน์ จึงสามารถเริ่มต้นใหม่ด้วยแนวคิด Lean and Clean Thailand ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญพอๆ กับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาแบบปราบปรามไม่เคยได้ผล แต่การแก้ปัญหาแบบระบบ ด้วยดิจิทัล กฎเกณฑ์ใหม่ และความกล้าหาญ คือสิ่งที่เขาเชื่อว่าประเทศไทยต้องทำทันที.
เมื่อถามถึงคุณสมบัติของผู้นำยุคใหม่ เขาสรุปสั้นและชัดเจนว่า ต้องมี 3 อย่าง ได้แก่ คิดเป็นระบบ เข้าใจดิจิทัล และกล้าชนปัญหา คุณสมบัติเหล่านี้คือเหตุผลที่เขายืนหยัดสนับสนุน ณัฐพงษ์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขณะเดียวกัน เขาก็พร้อมทำหน้าที่หากถูกผลักให้ขึ้นเวทีใหญ่ พรรคประชาชนกำลังก่อร่างสร้างวุฒิภาวะใหม่ ปรับการทำงานเชิงนโยบายละเอียดขึ้น และเตรียมพร้อมเผชิญประเทศไทยที่โลกไม่รอ ประเทศที่ต้องเลือกว่าจะ “ทันโลก” หรือ “ตกขบวนไปอีกหลายทศวรรษ”
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊ก)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


