อดีตทูตพิศาล เตือนไทยใช้อารมณ์-กำลังโต้กัมพูชา เสียความชอบธรรม
อดีตทูตพิศาล ชี้ไทยต้องใช้ “ยุทธศาสตร์คู่ขนาน” ผสานพลังทหาร–การทูต สร้างความชอบธรรมบนเวทีโลก ป้องกันการสูญเสียศึกข่าวสาร และฟื้นบทบาทนำอาเซียน
KEY
POINTS
- อดีตทูตพิศาล มาณวพัฒน์ เสนอพิมพ์เขียว "ยุทธศาสตร์คู่ขนาน" ที่ผสมผสานปฏิบัติการทางทหารกับเกมรุกทางการทูตเพื่อรับมือวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา
- ยุทธศาสตร์การทูตเชิงรุกคือการสร้างแรงกดดันนานาชาติต่อกัมพูชา โดยดึงจีนและสหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วม และริเริ่มเวทีโลกว่าด้วยการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
- เตือนว่าการตอบโต้ด้วยอารมณ์หรือกำลังเพียงอย่างเดียวจะทำให้ไทยเสียความชอบธรรมและพ่ายแพ้ในสงครามข่าวสารบนเวทีระหว่างประเทศ
พิมพ์เขียวทางการทูต: ยุทธศาสตร์เพื่อชัยชนะอย่างยั่งยืน
หลังคำประกาศ “เส้นทางสันติภาพมันจบลงแล้ว” ของนายกรัฐมนตรี ทำให้ชายแดนไทย–กัมพูชาเข้าสู่ภาวะเปราะบางที่สุดในรอบทศวรรษ พิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา มองว่านี่คือ “จุดเปลี่ยนของยุทธศาสตร์ชาติ” หากไทยเลือกใช้เพียงอารมณ์ตอบโต้ จะสูญเสียทั้งศึกข่าวสารและเวทีระหว่างประเทศ
ท่านทูตพิศาลจึงเสนอพิมพ์เขียวใหม่ให้รัฐบาลใช้ “ยุทธศาสตร์คู่ขนาน” ผสมผสานความแข็งกร้าวทางทหารกับความแยบยลทางการทูต เพื่อรักษาความชอบธรรมและควบคุมเกมด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์
ระหว่างอารมณ์ของประชาชนกับผลประโยชน์ของชาติ
พิศาลเตือนว่า การปิดประตูเจรจาโดยสิ้นเชิงคือ “การมอบชัยทางการทูตให้ฝ่ายตรงข้าม” เพราะกัมพูชาจะสร้างภาพเหยื่อได้ทันที ขณะที่ไทยกลายเป็นประเทศใหญ่ที่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล
รัฐบาลควรรักษาสมดุลระหว่างความรู้สึกของประชาชนกับภาพลักษณ์ของชาติในสายตานานาชาติ เพื่อไม่ให้ “ความโกรธชั่ววูบ” ล้มทับผลประโยชน์ระยะยาว
กับดักสงครามข่าวสารและการสูญเสียความชอบธรรม
การตอบโต้ด้วยกำลังโดยขาดการสื่อสารเชิงรุกจะทำให้ไทยแพ้ใน “สงครามเรื่องเล่า” (Narrative War) ซึ่งสำคัญไม่แพ้สมรภูมิจริง ทูตพิศาลย้ำว่า “ในเวทีโลก คนที่ต้องนั่งอธิบายถือว่าแพ้แล้ว”
อีกทั้งการใช้ถ้อยคำต่างกันระหว่าง “จบ” กับ “ระงับ” ยังสะท้อนถึงความไม่เป็นเอกภาพของรัฐ ซึ่งลดความน่าเชื่อถือของไทยในสายตาประชาคมโลก
ยุทธศาสตร์คู่ขนาน: ผสานกำลังทหารกับการทูต
หัวใจของพิมพ์เขียวคือ “Dual-Track Strategy”
มิติทหาร: ปฏิบัติการตอบโต้เฉพาะเป้าหมายผู้รับผิดชอบเหตุระเบิด เพื่อให้ชอบธรรมในกรอบกฎหมายสากล และสื่อสารกับพันธมิตรหลักล่วงหน้าเพียง “แจ้งให้ทราบ” ไม่ใช่ “ขออนุญาต”
มิติทูต: เปิดเกมรุกทุกเวที สร้างแรงกดดันรอบด้าน ทั้งเชิญจีนร่วมรับผิดชอบต่ออาวุธที่ใช้โจมตีไทย และดึงสหรัฐฯ เข้ามาร่วมรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของข้อตกลงที่ตนเป็นสักขีพยาน
พร้อมกันนั้น ไทยต้องเป็นผู้ริเริ่มจัดประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อ “เอาโลกมาล้อมกัมพูชา” และดึงปัญหาภูมิภาคให้กลับเข้าสู่กรอบความร่วมมือแทนการเผชิญหน้า
บทสรุป: ภาวะผู้นำในยามวิกฤต
พิศาลปิดท้ายด้วยการตั้งคำถามที่แทงใจว่า “ไทยต้องการรัฐบุรุษหรือเพียงนักการเมือง?”
รัฐบุรุษจะกล้าทำสิ่งที่ถูก แม้ขัดกระแสอารมณ์ประชาชน แต่รักษาผลประโยชน์ชาติระยะยาว ขณะที่นักการเมืองเลือกสิ่งที่ประชาชนอยากฟัง เพื่อคะแนนนิยมระยะสั้น
วิกฤตชายแดนครั้งนี้จึงไม่ใช่การวัดพลังทางทหาร หากคือการวัด “วุฒิภาวะทางยุทธศาสตร์” ว่าผู้นำไทยจะใช้โอกาสจากวิกฤตนี้ พาประเทศกลับสู่เวทีโลกอย่างมีศักดิ์ศรีได้หรือไม่.
เรียบเรียง : อมเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


