การยุบสภา สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และเงื่อนไขของฉากทัศน์มืด ที่นำไปสู่การรัฐประหาร
การยุบสภา สร้างสุญญากาศทางอำนาจ รัฐบาลรักษาการ แม้มีความชอบธรรมทางกฎหมาย แต่ขาดพลังทางการเมือง การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ถูกจำกัด และความเชื่อมั่นของประชาชน ต่อกลไกรัฐสภาก็ลดลงตามไปด้วย
สถานการณ์เริ่มต้นจากความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่เปราะบางที่สะสมความไม่ไว้วางใจเชิงประวัติศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ และการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ เมื่อเกิดเหตุปะทะในระดับยุทธวิธี ไม่ว่าจะจากความผิดพลาด การยั่วยุ หรือการคำนวณทางการเมือง เหตุการณ์ดังกล่าวถูกยกระดับอย่างรวดเร็วจาก เหตุชายแดน เป็น ประเด็นทางอำนาจของรัฐ
การตอบโต้ทางทหารที่แข็งกร้าวเกิดขึ้นภายใต้ตรรกะของการป้องกันอธิปไตย แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้กองทัพกลายเป็นผู้เล่นหลักในพื้นที่สาธารณะ ทั้งในสนามรบและในพื้นที่สื่อ ภาพของความเด็ดขาด ความพร้อม และการควบคุมสถานการณ์ ถูกสื่อสารอย่างเป็นระบบ จนเกิดการเปลี่ยนสมดุลระหว่างอำนาจพลเรือนกับอำนาจความมั่นคงโดยปริยาย
เมื่อเสียงปืนดังขึ้น คำแรกที่ถูกเรียกใช้คือ “ชาตินิยม”
ชาติถูกทำให้เท่ากับดินแดน ดินแดนถูกทำให้เท่ากับศักดิ์ศรี และศักดิ์ศรีถูกทำให้เท่ากับความจำเป็นต้องตอบโต้
ในกระบวนการนี้ การเรียกร้องสันติถูกผลักไปอยู่ชายขอบของวาทกรรม ความซับซ้อนของปัญหาถูกลดทอนให้เหลือเพียง เรากับเขา นิเวศสื่อและโซเชียลมีเดียเร่งขยายอารมณ์ร่วม ขณะที่เสียงที่พยายามชี้ให้เห็นต้นทุนของความขัดแย้งถูกกลบด้วยกระแสความรู้สึกร่วมเชิงชาตินิยม ชาตินิยมในบริบทนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึก แต่เป็น เครื่องมือสร้างความชอบธรรม (legitimacy) ให้กับการใช้อำนาจที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม การรบภายใต้ระบบการเมืองปกติที่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งและระบอบรัฐสภายังสมบูรณ์ เป็นผลดีต่อกองทัพในด้านความชอบธรรมทางอำนาจ โดยเฉพาะหากมองตามแนวคิด Democratic Peace Theory กองทัพที่ทำสงครามหรือการรบภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในสายตาโลกตะวันตกย่อมมีความชอบธรรมมากกว่ากองทัพที่ทำสงครามภายใต้รัฐบาลทหารที่เป็นเผด็จการ
กองทัพจึงไม่ต้องพะวงในการต่อสู้ทางการเมืองจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ในแนวหลัง เพราะรัฐบาลและฝ่ายการเมืองจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้แ.ทน ในสมการเช่นนี้ ฉากทัศน์ของการยึดอำนาจจากฝ่ายการเมืองอาจยิ่งทำให้กองทัพตกในที่นั่งลำบาก เพราะจะถูกโจมตีจากกลุ่มการเมืองต่างๆทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ความอ่อนแอทางการเมืองในห้วงยุบสภา
ในเวลาเดียวกัน ต้องยอมรับว่า ระบบการเมืองภายในกลับอยู่ในช่วงเปราะบางอย่างมาก การยุบสภาสร้างสุญญากาศทางอำนาจ รัฐบาลรักษาการแม้มีความชอบธรรมทางกฎหมาย แต่ขาดพลังทางการเมือง การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ถูกจำกัด และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกลไกรัฐสภาก็ลดลงตามไปด้วย
เมื่อวิกฤตภายนอกปะทะกับความอ่อนแอภายใน รัฐพลเรือนเริ่มถูกมองว่าช้า ไม่เด็ดขาด และ ไม่พร้อม ในการจัดการกับภัยคุกคามจากภายนอก ในขณะที่สถาบันความมั่นคงถูกมองว่าเป็นองค์กรเดียวที่ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาพเปรียบเทียบนี้ไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการสื่อสารและการรับรู้ที่ถูกหล่อหลอมอย่างต่อเนื่อง
การก่อตัวของฉากทัศน์มืด
ความเป็นไปได้ของฉากทัศน์มืดจึงไม่ได้เกิดจากการรัฐประหารฉับพลัน แต่เกิดจาก การสะสมเงื่อนไข
1. ความขัดแย้งภายนอกที่รุนแรงหรือยืดเยื้อขึ้น
2. กองทัพกลายเป็นผู้เล่นหลักในฐานะชาติ
3. รัฐบาลพลเรือนที่อ่อนแรงในช่วงเปลี่ยนผ่าน
4. ประชาชนที่เหนื่อยล้ากับความไม่แน่นอนและโหยหาความมั่นคง
เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้ครบถ้วน สังคมอาจเริ่มยอมรับ “อำนาจพิเศษ” ในฐานะทางออกชั่วคราว การใช้กฎหมายพิเศษ การรวมศูนย์อำนาจ และการลดบทบาทของการเมืองแบบเลือกตั้ง ถูกทำให้ดูเป็นสิ่งจำเป็น มากกว่าสิ่งผิดปกติ นิเวศการเมืองจึงนำไปสู่การเข้ามาของอำนาจจาก ตัวแปรลึกลับ
“ตัวแปรลึกลับ” ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนชัดเจน อาจเป็นกลุ่มอำนาจ อาจเป็นกลไก อาจเป็นการจัดวางอำนาจใหม่ที่ไม่ต้องเรียกว่าการยึดอำนาจ หรือการรัฐประหารในรูปแบบเดิมอีกต่อไป
นิเวศการเมืองที่เอื้อให้ตัวแปรนี้ปรากฏ คือระบบที่ ความกลัวมีน้ำหนักมากกว่าหลักการ ความมั่นคงถูกให้ค่ามากกว่าความชอบธรรม และความสงบระยะสั้น ถูกเลือกเหนือประชาธิปไตยระยะยาว ในระบบเช่นนี้ อำนาจสามารถ “เข้าสู่” แทนที่จะ “ยึด” สามารถ “ถูกเชิญ” แทนที่จะ “เข้ายึด” และสามารถอ้างความจำเป็น แทนการอ้างความยินยอม
ข้อสังเกตจากสถานการณ์ปัจจุบัน ฉากทัศน์ด้านมืด ที่เป็นไปได้ นั่นคือการที่อำนาจนอกระบบ กองทัพและเครือข่ายชนชั้นนำ อาจฉกฉวยโอกาสวิกฤตเพื่อยึดหรือสืบทอดอำนาจต่อไปโดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง
หากพิจารณาจากเหตุปัจจัยปัจจุบัน มีสองแนวทางหลักที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่
(1) การประกาศภาวะฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึกทั่วประเทศ เพื่อเลื่อนหรือยกเลิกการเลือกตั้ง
(2) การรัฐประหารโดยกองทัพ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลที่ไม่ต้องอิงกระบวนการเลือกตั้ง
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึก ภายใต้กฎหมายไทย รัฐบาลสามารถประกาศ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก.ฉุกเฉิน 2548) ในบางพื้นที่หรือทั่วประเทศได้ หากเห็นว่ามีเหตุความไม่สงบหรือภัยคุกคามความมั่นคงภายในที่ร้ายแรง
ขณะเดียวกัน กฎอัยการศึก สามารถประกาศใช้ได้ในกรณีเกิดสงคราม ภัยจากภายนอกราชอาณาจักร หรือการจลาจลภายในที่รุนแรง โดยต้องมีพระบรมราชโองการตามกฎหมายปี 2457
ทั้งสองมาตรการนี้จะมอบอำนาจพิเศษให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคง พรก.ฉุกเฉินให้อำนาจนายกฯ และฝ่ายความมั่นคงในการควบคุมสถานการณ์ เช่น ออกเคอร์ฟิว จำกัดการชุมนุม เซ็นเซอร์สื่อ จับกุมโดยไม่ตั้งข้อหาได้ในระยะเวลาหนึ่ง
ส่วนกฎอัยการศึกจะให้อำนาจแก่ผบ.เหล่าทัพและทหารในการดำเนินการแทนเจ้าหน้าที่พลเรือนในพื้นที่ที่ประกาศ รวมถึงจับกุม ค้น และสั่งห้ามต่างๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการปกติ หากวิกฤตชายแดนลุกลามหรือมีเหตุรุนแรงภายในประเทศเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นเหตุก่อการร้าย ความไม่สงบทางการเมือง หรือปัญหาเศรษฐกิจขั้นวิกฤต
ก็มีความเป็นไปได้ที่ “จิ๊กซอว์” ของเงื่อนไขทั้งหมด จะนำไปสู่การประกาศภาวะพิเศษ และอาจส่งผลให้กระบวนการเลือกตั้งภายใน 60 วันถูกระงับหรือเลื่อนออกไปโดยปริยาย
เพราะการลงคะแนนท่ามกลางภาวะฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึกย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเสรีและเรียบร้อย
ตัวอย่างกรณีในอดีต เช่น ช่วงวิกฤตปี 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งในขณะนั้น เคยร้องขอให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไปหลายเดือน เพราะมีการชุมนุมขัดขวางทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ทั่วประเทศ สุดท้ายแม้รัฐบาลไม่ทันได้เลื่อน แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ และเปิดช่องให้ทหารเข้าควบคุมอำนาจในเวลาต่อมา
ดังนั้นในครั้งนี้ หากมีการประกาศภาวะพิเศษด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ก็ย่อมสุ่มเสี่ยงที่เส้นตายการเลือกตั้งจะถูกเพิกเฉย และประเทศไทยอาจต้องเข้าสู่สภาวะ “ไร้รัฐสภา” อย่างไม่มีกำหนด ซึ่งฝ่ายที่กุมอำนาจก็จะอ้างความชอบธรรมว่า “ทำเพื่อความมั่นคงของชาติ”
อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารโดยตรง ยังคงเป็นอีกหนึ่งความเป็นไปได้ที่ไม่อาจตัดทิ้ง หากสถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ไม่เป็นที่พึงพอใจของกองทัพหรือชนชั้นนำ แม้ปัจจุบันผู้นำรัฐบาลจะเป็นพันธมิตรกับกองทัพ แต่ต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ มีโอกาสสูงที่พรรคฝ่ายค้านสายก้าวหน้า เช่น พรรคประชาชน จะได้รับชัยชนะอีกครั้งตามโพลที่นำเสนอมาโดยตลอด แม้อาจไม่ใช่แลนด์สไลด์ ทว่าเหตุการณ์ชิงยุบสภาก่อนน่าจะส่งผลต่อคะแนนความนิยมที่มีต่อพรรคฝ่ายก้าวหน้าไม่มากก็น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากการเลือกตั้งที่จะมาถึง (สมมติว่ายังเกิดขึ้น) ปรากฏว่าฝ่ายก้าวหน้าชนะถล่มทลายอีกครั้ง และมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลจริง ก็มีความเป็นไปได้ที่กองทัพจะปิดเกมด้วยการทำรัฐประหารอีกครั้ง แทนที่จะยอมให้กลุ่มที่ตนมองว่าเป็นภัยต่อสถาบันหลักเข้ามาใช้อำนาจ
การรัฐประหารอาจเกิดขึ้นได้ทั้ง ก่อนวันเลือกตั้ง เพื่อยกเลิกกระบวนการทั้งหมด หรือ หลังเลือกตั้ง หากเกิดภาวะชะงักงันในการจัดตั้งรัฐบาลหรือมีม็อบประท้วงรุนแรงดังเช่นปี 2557 เสียงเรียกร้องจากฝ่ายขวาจัดที่ต้องการให้ทหารออกมายึดอำนาจครั้งสุดท้ายก็มีให้ได้ยินอยู่เนืองๆ โดยอ้างว่าเป็นทางออกเดียวที่จะแก้วิกฤตการเมืองเรื้อรัง และสร้างความสงบเรียบร้อย
เช่น อดีตนายพลบางท่านเสนอผ่านสื่อว่า “ไม่เห็นทางออกอื่น นอกจาก ผบ.ทบ. ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ…สั่งการเหนือการเมืองได้แล้ว” เพื่อจัดการปัญหาบ้านเมือง ซึ่งทัศนะเช่นนี้แม้จะถูกคัดค้านโดยฝ่ายประชาธิปไตย แต่ก็สะท้อนแนวคิดในกองทัพบางส่วนที่ยังมองการรัฐประหารเป็นเครื่องมือแก้ปัญหา
ไม่ว่าจะเป็น การประกาศภาวะฉุกเฉิน กฎอัยการศึก หรือการทำรัฐประหารโดยตรง ผลลัพธ์ที่เหมือนกันคือประชาธิปไตยถูกพักไว้ และอำนาจจะกลับไปอยู่ในมือของชนชั้นนำดั้งเดิมอย่างเบ็ดเสร็จ
ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณแน่ชัดว่าฝ่ายกองทัพจะเลือกทางใด แต่การเคลื่อนไหวที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าพวกเขาเตรียมความพร้อมรองรับทุกสถานการณ์ ทั้งการเพิ่มกำลังตามแนวชายแดน การสื่อสารปลุกใจผ่านสื่อในคอนโทรลของตน และการประสานกับกลุ่มมวลชนฝ่ายขวา
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่สร้างเงื่อนไขให้ทหารอ้างเป็นเหตุออกมารัฐประหาร เช่น แกนนำพรรคประชาชน เคยปราศรัยเตือนว่าควรต่อสู้ภายใต้รัฐธรรมนูญและอย่าสร้างสถานการณ์นองเลือดที่จะเปิดช่องให้ทหารเข้ามาได้
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า อนาคตการเมืองไทยยังคงแขวนอยู่บนดุลยภาพระหว่าง อำนาจที่มองไม่เห็น กับ เสียงประชาชน หากสถานการณ์สงครามและวิกฤตภายในสงบลงโดยเร็วและมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง ประเทศไทยก็อาจเดินหน้าตามระบอบปกติ
แม้จะยังมีการชิงอำนาจผ่านศาลหรือกลไกอื่นต่อไป แต่หากวิกฤตรุนแรงต่อเนื่องหรือมี ตัวแปรลึกลับ เข้ามาแทรก เราย่อมไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ฝ่ายทหารจะใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อรักษาสถานะเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนเลือกตั้งอย่างไม่มีกำหนดหรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองนอกวิถีประชาธิปไตย
บทเรียนจากอดีตย้ำเตือนว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตใหญ่ ประชาธิปไตยไทยมักถอยหลัง ดังนั้นวิกฤตครั้งนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญว่าสังคมไทยได้เรียนรู้อะไรบ้าง หรือจะเดินซ้ำรอยเดิมอีกครั้งหนึ่ง


