อนาคตอวกาศไทยสะดุด? เจาะลึกความจำเป็นและความล่าช้าของ "ห้อง EMC" GISTDA
อนาคตอวกาศไทยสะดุด? เจาะลึกความจำเป็นและความล่าช้าของ "ห้อง EMC" GISTDA
คุณเคยหรือไม่ที่วางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ลำโพงแล้วได้ยินเสียง "ตื๊ด...ตื๊ด..." แทรกเข้ามา? นั่นคือตัวอย่างเล็กๆ ของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราตลอดเวลา
อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้น ตั้งแต่เครื่องซักผ้าในบ้านไปจนถึงดาวเทียมในอวกาศ ต่างก็ปล่อย "คลื่น" หรือ "สัญญาณรบกวน" ที่มองไม่เห็นออกมาในขณะทำงาน
ในโลกที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์นับพันล้านชิ้น หากไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุม คลื่นที่มองไม่เห็นเหล่านี้อาจสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ ทำให้ระบบนำร่องของเครื่องบินผิดพลาด หรือเครื่องมือแพทย์หยุดทำงาน
ที่นี่คือจุดที่ ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility หรือ EMC) เข้ามามีบทบาท EMC คือชุดกฎเกณฑ์และการทดสอบที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน และทำงานได้อย่างถูกต้อง
จากฟากฟ้าสู่ปัญหาบนภาคพื้น
ท่ามกลางความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศ โดยมี สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อน
กลับมีอุปสรรคที่ส่งผลกระทบได้อย่างมหาศาล นั่นคือ ความล่าช้าของการก่อสร้าง "ห้องทดสอบความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC)" ที่ไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐานเสริม
แต่เป็นหัวใจสำคัญ สร้างคำถามถึงอนาคตของวงการอวกาศไทยที่อาจกำลังสะดุดลงเพราะปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
EMC: ผู้พิทักษ์เทคโนโลยีที่มองไม่เห็น
ก่อนจะเดินทางไปสู่อวกาศ เราจำเป็นต้องถอดรหัสความหมายของเทคโนโลยีที่ชื่อว่า EMC ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ที่มองไม่เห็น แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิดในชีวิตประจำวัน
ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านไปจนถึงเครื่องมือแพทย์ที่ซับซ้อน ไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัวในอุตสาหกรรมอวกาศ
แนวคิดของ ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility: EMC) สามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายได้เป็น 2 หลักการสำคัญ คือ
1. การไม่ปล่อยสัญญาณรบกวน (Emission): อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นจะต้องไม่สร้างหรือปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปรบกวนการทำงานของอุปกรณ์อื่นที่อยู่ใกล้เคียง
2. ความทนทานต่อสัญญาณรบกวน (Susceptibility/Immunity): ในขณะเดียวกัน อุปกรณ์นั้นต้องสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติและน่าเชื่อถือ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์อื่นรบกวนอยู่ก็ตาม
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล หากแขนกลที่กำลังช่วยแพทย์ผ่าตัดอย่างแม่นยำระดับมิลลิเมตร เกิดทำงานผิดพลาดหรือหยุดชะงักกลางคัน
เพราะถูกรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาจากเครื่องเอกซเรย์หรือเครื่องวัดชีพจรที่อยู่ใกล้ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตของผู้ป่วย นี่คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมซึ่งตอกย้ำว่า EMC เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตของเราโดยตรง
และเป็นเหตุผลว่าทำไมเทคโนโลยีในหลากหลายอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานนี้อย่างเข้มงวด เช่น
เทคโนโลยีอวกาศและโทรคมนาคม
ป้องกันความผิดพลาดของระบบสื่อสารและระบบควบคุมดาวเทียม ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวของภารกิจ
การแพทย์และวิทยาศาสตร์
รับประกันความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย และความแม่นยำของเครื่องมือทางการแพทย์และอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ
ยานยนต์
สร้างความเสถียรของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ปกป้องความปลอดภัยของผู้บริโภค และป้องกันไม่ให้อุปกรณ์รบกวนการทำงานของกันและกันภายในบ้าน
เหตุใดเทคโนโลยีอวกาศจึงขาด EMC ไม่ได้
ในสภาพแวดล้อมสุดขั้วของอวกาศ ซึ่งเต็มไปด้วยรังสีและสนามแม่เหล็กไฟฟ้า การทดสอบ EMC ไม่ใช่เป็นเพียงแค่มาตรฐาน
แต่เป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของภารกิจที่มีมูลค่ามหาศาล และเป็นบทพิสูจน์สุดท้ายก่อนที่เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกส่งขึ้นไปปฏิบัติการบนฟากฟ้า
กรณีการทดสอบดาวเทียม THEOS-2 SmallSAT ของประเทศไทย ที่ทีมวิศวกรต้องเคลื่อนย้ายดาวเทียมไปยังห้อง Anechoic Chamber ของสถาบัน Intertek ณ เมือง Leatherhead ประเทศอังกฤษ
สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความสำคัญของการทดสอบนี้ได้เป็นอย่างดี โดยการทดสอบหลัก 4 หัวข้อตามมาตรฐาน MIL-STD-461 ประกอบด้วย
• การปล่อยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Radiated Emission - RE102): เป็นการจำลองสถานการณ์ขณะดาวเทียมอยู่บนจรวดนำส่งและกำลังชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะไม่มีการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปรบกวนระบบต่างๆ ของจรวดหรือดาวเทียมดวงอื่น
• ความทนทานต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Radiated Susceptibility - RS103): เป็นการประเมินว่าดาวเทียมสามารถทนทานต่อสัญญาณรบกวนจากสภาวะแวดล้อมภายนอกได้ตามข้อกำหนดของจรวดนำส่งหรือไม่
• การทำงานของสายอากาศ (Antenna Function Check): เพื่อวัดประสิทธิภาพการรับ-ส่งสัญญาณของสายอากาศในย่านความถี่ต่างๆ ที่ใช้งานจริง เช่น S-band, X-band และ L-band
• การรบกวนกันเองภายในระบบ (SYSTEM SELF SUSCEPTIBILITY): เพื่อทดสอบว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่ภายในดาวเทียมดวงเดียวกัน เช่น ระบบกล้อง และเครื่องรับสัญญาณ จะไม่สร้างคลื่นรบกวนการทำงานของกันและกัน
หากดาวเทียมไม่ผ่านการทดสอบเหล่านี้ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง เช่น การปล่อยคลื่นไปรบกวนระบบนำร่องของจรวดนำส่ง หรือรบกวนดาวเทียมดวงอื่นที่ถูกส่งขึ้นไปในภารกิจเดียวกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อภารกิจทั้งหมดได้ในที่สุด
ดังนั้น การทดสอบที่ซับซ้อนและจำเป็นอย่างยิ่งยวดนี้เอง คือเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศไทยต้องพิจารณาสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการทดสอบ EMC ขึ้นเองภายในประเทศ เพื่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีในระยะยาว
ทำไม GISTDA ต้องสร้างห้อง EMC เอง
การมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอวกาศเป็นของตนเอง คือเดิมพันเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ การต้องพึ่งพาต่างชาติในการทดสอบที่สำคัญอย่าง EMC ถือเป็นจุดอ่อนที่บั่นทอนทั้งงบประมาณ เวลา และความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ การที่ GISTDA เดินหน้าโครงการสร้างห้องทดสอบ EMC จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งด้วยเหตุผลหลายประการ
• ลดค่าใช้จ่ายและเวลา: การส่งอุปกรณ์หรือดาวเทียมทั้งดวงไปทดสอบในต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน การมีห้องทดสอบเองจะช่วยลดภาระเหล่านี้ได้อย่างมหาศาล
• สร้างความเชื่อมั่นและมาตรฐาน: ประเทศไทยจะสามารถทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นเองได้ว่าเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเปิดประตูสู่ตลาดโลก
• เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติ: ห้อง EMC ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่อุตสาหกรรมอวกาศ แต่ยังสามารถรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ ของประเทศ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), อุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูง และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
• ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา: ช่วยให้นักวิจัยและนักพัฒนาสามารถตรวจพบและแก้ไขปัญหาการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าได้ตั้งแต่ในขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนและเร่งกระบวนการพัฒนาให้เร็วขึ้น
กรณีของดาวเทียม THEOS-2 SmallSAT ที่ต้องถูกส่งไปทดสอบไกลถึงสถาบัน Intertek ในประเทศอังกฤษ ยิ่งตอกย้ำช่องว่างนี้ แม้ว่า Intertek จะมีสาขาในประเทศไทยก็ตาม
ซึ่งชี้ให้เห็นว่าขีดความสามารถในการทดสอบเทคโนโลยีอวกาศระดับสูงภายในประเทศยังคงมีจำกัด และเป็นเหตุผลสำคัญที่การมีห้องทดสอบระดับชาติของ GISTDA เองจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
โดยปัจจุบัน GISTDA มี ศูนย์ทดสอบและประกอบดาวเทียมแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีอยู่แล้ว การมีห้องทดสอบ EMC ในพื้นที่เดียวกันจะช่วยให้กระบวนการพัฒนาและทดสอบดาวเทียมของไทยเป็นไปอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ โครงการจัดสร้างห้อง EMC ของ GISTDA จึงไม่ใช่แค่โครงการจัดซื้อจัดจ้างทั่วไป แต่เป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของชาติ
และนั่นยิ่งทำให้ความล่าช้าที่เกิดขึ้นกับโครงการนี้ ไม่ใช่แค่คำถามถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ แต่เป็นคำถามถึงความจริงใจในการผลักดันวาระแห่งชาติด้านอวกาศ
เจาะปมปัญหาความล่าช้าห้อง EMC งบ 72.5 ล้านบาท
แม้โครงการห้อง EMC จะมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ และได้รับการอนุมัติงบประมาณภายใต้แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งควรจะดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่โครงการกลับต้องเผชิญกับความล่าช้าที่ผิดปกติ ทำให้เกิดคำถามถึงสถานะและความโปร่งใสในการดำเนินงาน
ข้อมูลสำคัญของโครงการที่ปรากฏตามแหล่งข่าว มีดังนี้
• ชื่อโครงการ (โดยสรุป): โครงการสร้างห้อง EMC (ห้องปิดกั้นและไร้การสะท้อน)
• งบประมาณ: 72.5 ล้านบาท
• แหล่งที่มางบประมาณ: งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่อนุมัติตั้งแต่สมัยรัฐบาลก่อนหน้า
• วัตถุประสงค์: เพื่อสร้างห้องที่สามารถจำลองสภาวะ "อวกาศเปิด (Free Space)" สำหรับการทดสอบการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ที่แผ่ออกมาจากอุปกรณ์
ลำดับเหตุการณ์ของความล่าช้าที่เกิดขึ้น สามารถสรุปได้ดังนี้
1. โครงการมีความยืดเยื้อจนเกือบจะสิ้นสุดปีงบประมาณ จึงได้เริ่มกระบวนการเปิดประมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
2. หลังจากการเปิดประมูลและมีผู้ยื่นเสนอราคาเข้าร่วมการแข่งขันอย่างครบถ้วนแล้ว โครงการกลับไม่สามารถประกาศผลผู้ชนะการประมูลได้
3. ความล่าช้านี้ส่งผลให้ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทัน และจำเป็นต้อง "กันงบข้ามปี" เพื่อไม่ให้งบประมาณตกไป
สถานการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่ข้อกังขาที่ตั้งคำถามถึงสาเหตุที่แท้จริงของความล่าช้าหลังการเปิดซองประมูลไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ดร.ปกรณ์ อาภาพันธ์ ผู้อำนวยการ GISTDA ถูกเรียกร้องให้เข้ามาตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความโปร่งใส
สำหรับความฝันด้านอวกาศและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศไทย การมีห้องทดสอบ EMC เป็นของตนเองคือการติดอาวุธทางปัญญาและสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีให้กับประเทศในระยะยาว
ดังนั้น ความล่าช้าที่เกิดขึ้นกับโครงการจัดสร้างห้อง EMC ของ GISTDA จึงไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาด้านการจัดซื้อจัดจ้าง แต่เป็นอุปสรรคสำคัญที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขัน ความน่าเชื่อถือ และบั่นทอนความฝันของคนไทยในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศในเวทีโลก


