จาก E-commerce สู่ A-commerce เมื่อ AI ไม่ได้ช่วยแต่กำลังขายของ
จากการคลิกเลือกของแบบ E-Commerce สู่ยุคที่ Chatbot รู้ใจคุณยิ่งกว่าตัวเอง ขอแนะนำให้รู้จัก A-commerce ในวันที่ AI พร้อมเสนอขายสินค้ากับเรา
KEY
POINTS
- A-Commerce คือการที่ AI Chatbot ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยซื้อของส่วนตัว สามารถแนะนำ เปรียบเทียบ และปิดการขายสินค้าได้ทันทีผ่านการสนทนา
- AI ใช้ข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงใจ และกำหนด "ราคาเฉพาะบุคคล" (Personalized Pricing) ที่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน
- แม้จะสะดวกสบาย แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยง เช่น การสูญเสียความเป็นส่วนตัว การถูกชักจูงให้ซื้อของในราคาที่ไม่เป็นธรรม และการใช้จ่ายเกินความจำเป็น
ยุคที่เราต้องสลับแอปฯ ไปมาเพื่อค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และอ่านรีวิวทีละชิ้น อาจกำลังจะจบลง ลืมภาพการ เลือกซื้อของแบบเดิมไปได้เลย เพราะการมาถึงของ AI Chatbot อย่าง ChatGPT, Gemini หรือ Copilot กำลังสวมบทบาทใหม่ในฐานะ พนักงานขายส่วนตัว ที่พร้อมปิดการขายให้คุณทันทีในหน้าต่างแชต นี่คือการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่เรียกว่า A-Commerce (AI-Commerce) และมันกำลังจะเปลี่ยนทุกอย่างโดยสิ้นเชิง
จากเดิมที่เราต้องเริ่มต้นกระบวนการด้วยตัวเองว่า ต้องการสินค้าแบบไหน? หรือ มีรายละเอียดอย่างไร? แล้วจึงค้นหา เปรียบเทียบ ตรวจสอบรายละเอียดปลีกย่อย จนถึงราคาที่พอใจ ก่อนจะกดสั่งซื้อ
แต่ล่าสุด ChatGPT ได้เปิดระบบซื้อขายผ่านปลั๊กอินของ Shopify, Kayak หรือ Etsy ที่ช่วยให้เราสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านการสนทนาได้ทันที พร้อมรับคำแนะนำและมุ่งสู่การชำระเงินโดยตรง Gemini ของ Google ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการเชื่อมต่อกับ Google Flight และ Google Hotel เพื่อจองตั๋วและที่พัก เช่นเดียวกับ Copilot ของ Microsoft ที่ใช้ Bing ค้นหาสินค้าและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
นั่นทำให้สมรภูมิการซื้อของออนไลน์กำลังถูกพลิกโฉม จากเดิมที่สินค้าถูกยิงโฆษณามาหาเราตามประวัติการท่องเว็บ มันกำลังจะเปลี่ยนเป็นการนำเสนอที่อิงจากประวัติการสนทนาและตารางชีวิตของคุณ เช่น เมื่อคุณปรึกษา AI เรื่องทริปเทศกาลหิมะ มันอาจแนะนำเสื้อหรือรองเท้ากันหนาวขึ้นมาทันที
Personalized Pricing เมื่อราคาของเราไม่เท่ากัน
เดิมเราคุ้นเคยกับราคามาตรฐานที่ทุกคนเห็นเท่ากัน หรืออย่างมากก็แค่ Dynamic Pricing ที่ราคาตั๋วเครื่องบินหรือที่พักจะพุ่งสูงในวันหยุดยาว และค่าโดยสาร Uber ที่แพงขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน
แต่เรากำลังไปไกลกว่านั้นด้วย Personalized Pricing หรือ การตั้งราคาเฉพาะบุคคล ระบบนี้จะรวบรวมข้อมูลมหาศาลของผู้ใช้งาน ตั้งแต่ประวัติการท่องเว็บ, พฤติกรรมการซื้อ, อุปกรณ์ที่ใช้, ไปจนถึงรหัสไปรษณีย์ที่จัดส่ง ทั้งหมดจะถูกประมวลผลผ่านอัลกอริทึม เพื่อประเมิน ราคาที่ผู้ใช้งานแต่ละคนเต็มใจจ่าย
ข้อมูลทุกคลิก, ระยะเวลาที่อยู่บนหน้าเว็บ, สินค้าที่ทิ้งไว้ในตะกร้า ทั้งหมดถูกนำมาประเมินอย่างละเอียดเพื่อเสนอราคาที่แตกต่างกันให้แก่ลูกค้าแต่ละราย พูดง่ายๆ คือ ผู้ใช้งานทุกคนอาจเห็นราคาสินค้าเดียวกันไม่เท่ากันแม้แต่ชิ้นเดียว
ระบบนี้ได้รับความสนใจอย่างสูงจากกลุ่มสายการบินและโรงแรมท่องเที่ยว ซึ่งมีรายงานว่าสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 162% โดยที่ต้นทุนไม่เพิ่ม จึงไม่แปลกที่ธุรกิจอื่นจะสนใจทำตาม แต่มันก็นำไปสู่คำถามใหญ่ ทั้งในด้านความยุติธรรมและความโปร่งใสในการเสนอราคา และนี่อาจเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง ทั้งยังไม่มีกฎหมายใดมาคุ้มครอง
Agentic AI เมื่อ AI คิดแทนเราจนน่ากังวล
เมื่อรูปแบบการซื้อของเปลี่ยนไป ความซับซ้อนก็ยิ่งทวีคูณ การเข้ามาของแพลตฟอร์ม Chatbot อาจปฏิวัติวงการด้วยความสะดวกสบายที่เราไม่ต้องไปค้นหาสินค้าเองอีกต่อไป AI จะนำเงื่อนไขที่เราต้องการไปเป็นข้อกำหนด และนำเสนอสิ่งที่เราน่าจะพอใจมาให้ทันที
แนวโน้มในอนาคตยิ่งน่าจับตา เมื่อข้อมูลส่วนตัวถูกเชื่อมเข้ากับ ID ของ AI ที่เราใช้งาน AI อาจเป็นฝ่ายเสนอสินค้าขึ้นมาเอง เช่น เสนอขายชุดกันหนาวในฤดูร้อนเพราะรู้ว่าเรามีแผนจะไปต่างประเทศ หรือเสนอซื้อของขวัญให้คนรักเพราะเราตั้งรายการสิ่งที่ต้องทำไว้บนปฏิทิน
ร้ายแรงกว่านั้น เมื่อ AI ถูกพัฒนาให้กลายเป็น Agentic AI เต็มรูปแบบ... เราลงรูปในโซเชียลมีเดียว่าไปงานปาร์ตี้บ่อยครั้ง AI อาจเสนอยาแก้เมาค้างให้เรา โดยที่เราเพียงกดตกลงก็พร้อมสั่งซื้อทันที
แน่นอนว่ามันสะดวกมาก แต่นั่นก็อาจนำไปสู่ปัญหาใหม่ที่ใหญ่เกินกว่าตัวเราในตอนนี้จะจินตนาการถึง
ดาบสองคม ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความสะดวกสบาย
เมื่อนำปัญหาอัลกอริทึมประเมินราคา (Personalized Pricing) มาผนวกเข้ากับ AI Chatbot ที่เราเริ่มพึ่งพาในการเลือกซื้อสินค้า อาจทำให้การตั้งราคาแบบเฉพาะเจาะจงทำได้ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น จนเราอาจถูกหลอกให้ซื้อสินค้าเกินราคาโดยที่เราเข้าใจผิดว่านั่นคือราคาที่ ถูกที่สุด หรือ ดีที่สุด แล้ว
แม้การซื้อของผ่าน AI จะสะดวกสบาย แต่มันอาจทำให้เราสูญเสีย อำนาจในการเลือกซื้อ หลายคนอาจตัดสินใจซื้อสินค้าทันทีเพราะเชื่อว่า AI ได้คัดกรองเงื่อนไขที่ดีที่สุดมาให้ ทั้งที่ความจริง แพลตฟอร์มอาจได้รับค่าโฆษณาเพื่อเชียร์สินค้านั้นเป็นพิเศษ และที่น่ากังวลที่สุดคือเรากำลังสูญเสียความเป็นส่วนตัว เพราะ AI และร้านค้าจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเราโดยสมบูรณ์
อันดับถัดมาคือแนวโน้มการใช้จ่ายเกินตัว การซื้อของออนไลน์ที่ว่าง่ายอยู่แล้ว จะยิ่งถูกซ้ำเติมโดย AI เพราะผู้ค้าย่อมต้องการให้เราซื้อมากที่สุด การที่เราซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วยขั้นตอนที่น้อยลง ยิ่งทำให้เรามีแนวโน้มเสียเงินอย่างไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นมหาศาล
อีกหนึ่งปัญหาคือความเป็นไปได้ในการฉ้อโกง หากเราเลือกซื้อสินค้าเอง เราอาจยังมีวิจารณญาณในการตัดสินใจ แต่การพึ่งพา AI ที่มีโอกาส หลอน(Hallucination) อาจทำให้เราต้องเผชิญกับการฉ้อโกงออนไลน์ในรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น
สมรภูมิใหม่ของผู้ค้า เมื่อ SEO ไม่พออีกต่อไป
ผลกระทบนี้ไม่ได้เกิดแค่กับผู้ซื้อ แต่ผู้ขายก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวขนานใหญ่ จากเดิมที่มุ่งเน้นการทำ SEO (Search Engine Optimization) และดึงดูดลูกค้าผ่านหน้าเว็บไซต์ อาจต้องเปลี่ยนเป็นการปรับแต่งหน้าร้านและรายละเอียดสินค้าให้ AI ทำความเข้าใจได้ง่าย มิเช่นนั้นหากคนส่วนใหญ่หันไปใช้ AI เลือกซื้อสินค้า ร้านค้าของคุณอาจถูกท่วมและจมหายไปในทะเลข้อมูลทันที
อนาคตที่มาถึงแล้ว (และเราหนีไม่พ้น)
เรื่องที่น่ากลัวที่สุดของ A-commerce ไม่ใช่ความซับซ้อนของมัน แต่คือ การมาถึงอย่างแน่นอน ในสหรัฐอเมริกา เทรนด์นี้ได้เริ่มต้นขึ้นบ้างแล้วและคาดว่าจะมาถึงไทยในไม่ช้า แม้หลายท่านจะรู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจ แต่เชื่อว่าหลายคนก็เคยผ่านความรู้สึกนี้มาแล้วในยุคแรกของการซื้อสินค้าออนไลน์ หรือยุคแรกของการใช้ Uber และ Grab ก่อนที่มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
จึงเหลือเพียงผู้ใช้งานอย่างเราเท่านั้นว่า จะปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ไหม และในทิศทางใด
ที่มา


