Microsoft เปิดตัว GPT-5 ใน Copilot และ Azure ใช้งานได้แล้ววันนี้
GPT-5 จาก OpenAI พร้อมใช้งานแล้วบนแพลตฟอร์มของ Microsoft ชูจุดเด่นด้านความสามารถในการให้เหตุผล (Reasoning) และการเขียนโค้ดที่เหนือชั้น พร้อมระบบเลือกโมเดลอัจฉริยะ
Microsoft ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการ AI ด้วยการเปิดตัว GPT-5 โมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำหน้าที่สุดจากพันธมิตรอย่าง OpenAI โดยเริ่มทยอยผนวกเข้ากับระบบนิเวศของ Microsoft แล้วตั้งแต่วันนี้
ครอบคลุมทั้ง Microsoft 365 Copilot, Microsoft Copilot Studio, GitHub Copilot และ Azure AI Foundry สร้างนิยามใหม่ของประสิทธิภาพการทำงานและการพัฒนาแอปพลิเคชัน
GPT-5 คืออะไร?
GPT-5 คือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นล่าสุดใน ChatGPT จากบริษัท OpenAI โดย GPT-5 เป็นเจเนอเรชันถัดจาก GPT-4 และ GPT-4o ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง
GPT-5 ได้รับการยอมรับว่าเป็นโมเดลที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน โดดเด่นด้วยความสามารถที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในด้านการให้เหตุผล (Reasoning), การเขียนโค้ด (Coding) และการสนทนาที่ซับซ้อน (Conversation)
ซึ่งทั้งหมดนี้ผ่านการฝึกฝนบนแพลตฟอร์มคลาวด์ระดับโลกอย่าง Microsoft Azure
พลิกโฉม Copilot ด้วยสมองกลอัจฉริยะ GPT-5
การนำ GPT-5 มาใช้งานใน Microsoft 365 Copilot ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว ตอกย้ำคำมั่นสัญญาของ Microsoft ที่จะนำนวัตกรรมล่าสุดจาก OpenAI มาสู่มือผู้ใช้งานภายใน 30 วัน
โดย Copilot ในฐานะผู้ช่วย AI สำหรับการทำงาน จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับองค์กร
ความพิเศษของการผสาน GPT-5 เข้ากับ Copilot คือ ระบบเลือกโมเดลแบบเรียลไทม์ (Real-time Model Selection) ซึ่งทำงานเบื้องหลังเพื่อเลือกใช้ "สมอง" ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคำสั่งโดยอัตโนมัติ:
- คำถามทั่วไป: สำหรับคำสั่งที่ไม่ซับซ้อน Copilot จะเลือกใช้โมเดล GPT-5 ที่ตอบสนองได้รวดเร็ว เพื่อให้ได้คำตอบที่กระชับและทันท่วงที
- คำถามเชิงลึก: หากเป็นคำสั่งที่ต้องการการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน Copilot จะสลับไปใช้โมเดล GPT-5 ที่มีความสามารถด้านการให้เหตุผลขั้นสูง เพื่อวางแผน, รวบรวมข้อมูล, วิเคราะห์บริบทจากเอกสารและข้อมูลการทำงานของผู้ใช้ ก่อนจะสังเคราะห์เป็นคำตอบที่มีคุณภาพและความละเอียดสูงสุด
ตัวอย่างเช่น นักการตลาดสามารถสั่งให้ Copilot "สรุปข้อเสนอจากเอเจนซี่ A และ B" ได้อย่างรวดเร็ว
และหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมว่า "ควรเลือกเอเจนซี่ไหนดีที่สุด โดยพิจารณาจากงบประมาณและเป้าหมายแคมเปญในเอกสารล่าสุด"
Copilot จะใช้ความสามารถในการให้เหตุผลของ GPT-5 ร่วมกับข้อมูลจากอีเมล, ปฏิทิน และไฟล์งาน เพื่อให้คำแนะนำที่เฉียบคมและมีบริบทครบถ้วน
ChatGPT ฟีเจอร์ใหม่ GPT-5 ทำอะไรได้บ้าง
- ไม่ต้องเลือกโมเดลเอง: GPT-5 จะเป็นโมเดลพื้นฐานที่รวมความสามารถของรุ่นเก่าๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเลือกโมเดลเองอีกต่อไป (แต่ผู้ใช้ที่ชำระเงินยังคงสามารถเลือกใช้โมเดลขั้นสูงได้)
- เลือกบุคลิก AI ได้: ผู้ใช้สามารถเลือกบุคลิกของ AI ได้ 4 แบบ คือ แบบจิกกัด, แบบหุ่นยนต์, แบบเพื่อนที่รับฟัง และแบบหนอนหนังสือ เพื่อให้การสนทนาเป็นธรรมชาติและตรงตามความต้องการมากขึ้น
- เขียนโค้ดเก่งขึ้น: ฟีเจอร์ Vibe Coding ได้รับการพัฒนาให้เข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนและสร้างผลงานให้ทดลองใช้ได้ทันที
- ปรับแต่งสีได้: ผู้ใช้สามารถปรับแต่งสีของส่วนประกอบต่างๆ ในหน้าจอ ChatGPT ได้ตามใจชอบ
- โหมดเสียงที่ฉลาดขึ้น: โหมดเสียงจะเข้าใจคำสั่งได้ดีขึ้น และสามารถปรับแต่งสไตล์การพูดของ AI ได้ นอกจากนี้ผู้ใช้ฟรีจะได้รับโควต้าการใช้งานที่นานขึ้น
- เชื่อมต่อกับ Google: ChatGPT จะสามารถเชื่อมต่อกับ Gmail และ Google Calendar เพื่อช่วยสรุปตารางนัดหมายและแจ้งเตือนอีเมลสำคัญได้
GPT-5 ใช้งานในไทยได้เมื่อไหร่
- สำหรับผู้ใช้ Microsoft 365 Copilot: สามารถเข้าถึง GPT-5 ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยจะสังเกตเห็นปุ่ม "ลองใช้ GPT-5" (Try GPT-5) ในหน้าต่าง Copilot Chat เมื่อเปิดใช้งาน Copilot จะใช้โมเดล GPT-5 ตลอดเซสชันนั้น ๆ
- สำหรับผู้ใช้ทั่วไป: Microsoft จะเริ่มทยอยเปิดให้ใช้งาน GPT-5 ตั้งแต่วันนี้เช่นกัน และคาดว่าจะครอบคลุมผู้ใช้ทุกคนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ต่อยอดสู่การพัฒนาสำหรับองค์กรและนักพัฒนา
นอกเหนือจากการใช้งานทั่วไป GPT-5 ยังถูกนำไปเสริมศักยภาพในแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย:
- Copilot Studio: ผู้ใช้สามารถเลือก GPT-5 เป็นโมเดลหลักในการสร้าง "Copilot" หรือแชทบอทแบบกำหนดเองได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ทำให้สามารถสร้างเอเจนต์ AI ที่จัดการกับกระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Azure AI Foundry: สำหรับนักพัฒนา การมาถึงของ GPT-5 บน Azure AI Foundry ไม่ใช่แค่การเพิ่มโมเดลใหม่ แต่เป็นการปลดล็อกความสามารถผ่าน "Model Router" ที่ช่วยเลือกรุ่นย่อยในตระกูล GPT-5 และโมเดลอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งสามารถลดต้นทุนการประมวลผลได้สูงสุดถึง 60% โดยที่คุณภาพของผลลัพธ์ยังคงเดิม ช่วยให้นักพัฒนาสร้างสรรค์แอปพลิเคชัน AI ที่ทรงพลังและคุ้มค่ากว่าที่เคย


