OpenAI ส่ง GPT-5 เขย่าบัลลังก์ AI ชูความฉลาดล้ำ เพิ่มลูกเล่นใหม่
OpenAI เผยโฉม GPT-5 โมเดล AI รุ่นล่าสุดที่ให้ความรู้สึกเหมือนคุยกับคนจริงๆ! พร้อมเพิ่มลูกเล่นใหม่ ชูโรงความฉลาดล้ำ เขียนโค้ดเทพ สร้างสรรค์งานล้ำ
OpenAI ประกาศเปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ที่ทรงพลังและหลายคนรอคอยอย่าง GPT-5 อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ หวังชิงความได้เปรียบในสมรภูมิ AI ที่การแข่งขันจากคู่แข่งทั้งในสหรัฐอเมริกาและจีนทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
GPT-5 ที่เผยโฉมผ่านไลฟ์สตรีมเมื่อวันพฤหัสบดี ถูกวางตัวให้เป็น "Game Changer" ด้วยความสามารถที่ก้าวกระโดดในทุกมิติ
ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโค้ดที่ซับซ้อน, การรังสรรค์งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ ไปจนถึงการคิดวิเคราะห์หาเหตุผลในประเด็นยากๆ
GPT-5 is here.
— OpenAI (@OpenAI) August 7, 2025
Rolling out to everyone starting today.https://t.co/rOcZ8J2btI pic.twitter.com/dk6zLTe04s
โดยในระหว่างการบรรยายสรุปกับสื่อมวลชนแซม อัลต์แมน, ซีอีโอผู้กุมบังเหียน OpenAI, นิยามการมาถึงของ GPT-5 ว่าเป็น "การยกเครื่องครั้งใหญ่"
พร้อมกล่าวกับสื่อมวลชนด้วยความตื่นเต้นว่า "นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญในทุกเรื่อง"
ข่าวดีสำหรับผู้ใช้งานคือ OpenAI จะเริ่มทยอยเปิดให้คนทั่วไปและสมาชิกระบบเสียเงินได้สัมผัสความสามารถของ GPT-5 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
โดยสมาชิกแบบชำระเงินจะได้รับโควต้าการใช้งานที่สูงกว่า ก่อนจะขยายไปยังกลุ่มลูกค้าองค์กรและสถาบันการศึกษาในสัปดาห์หน้า
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน OpenAI คือผู้จุดประกายให้โลกได้รู้จักกับ Generative AI ผ่าน ChatGPT ซึ่งในยุคแรกขับเคลื่อนด้วยโมเดล GPT-3.5
และนับจากวันนั้น OpenAI ก็ไม่เคยหยุดพัฒนา ล่าสุดคือการสร้างระบบที่คิดและให้เหตุผลคล้ายมนุษย์ และ AI Agent ที่พร้อมทำงานแทนเราได้แทบทุกอย่าง
กระแสของ GPT-5 ถูกโหมกระพือมาตลอดทั้งปี โดยมีอัลต์แมนเองเป็นผู้จุดประเด็นอยู่บ่อยครั้ง เขาถึงกับยอมรับผ่านพอดแคสต์ว่ารู้สึกทึ่งในความสามารถของมันจนน่าตกใจ
"มีคนอีเมลคำถามที่ผมอ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจมาให้ ผมเลยลองโยนให้ GPT-5 ช่วยคิด ปรากฏว่ามันตอบได้สมบูรณ์แบบมาก...จนผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าไปเลยเมื่อเทียบกับมัน"
นิค เทอร์ลีย์ หัวหน้าทีม ChatGPT ยืนยันว่าโมเดลใหม่นี้ตอบสนองไวกว่าเดิม ฉลาดขึ้น และที่สำคัญคือ "อาการหลอน" หรือให้ข้อมูลผิดพลาดน้อยลงมาก ทำให้การสนทนารู้สึกเป็นธรรมชาติและราบรื่นยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ OpenAI ยังเพิ่มลูกเล่นใหม่ด้วย "บุคลิก" (Personalities) 4 แบบให้ผู้ใช้เลือกปรับแนวการสนทนาได้ตามใจชอบ ได้แก่
Cynic (นักเหน็บแนม), Robot (หุ่นยนต์), Listener (ผู้ฟังที่ดี), และ Nerd ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง) อีกทั้ง GPT-5 ยังมีความสามารถในการ "หยุดคิด" เพื่อไตร่ตรองคำสั่งที่ซับซ้อนได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อเค้นประสิทธิภาพและให้คำตอบที่ดีที่สุด
หัวใจสำคัญของ GPT-5 คือ "การเขียนโค้ด" อัลต์แมนถึงกับประกาศว่า "แนวคิดเรื่อง 'Software on demand' หรือการสั่งสร้างซอฟต์แวร์ได้ทันที จะเป็นนิยามใหม่ของยุค GPT-5"
ซึ่งเห็นได้ชัดจากการสาธิตสร้างเว็บแอปพลิเคชันสอนภาษาฝรั่งเศสที่ทั้งสวยงามและมีเกมให้เล่นในตัว โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
ความเก่งกาจนี้ได้รับการยืนยันจากผู้ทดสอบกลุ่มแรกอย่าง Lovable สตาร์ทอัพจากสวีเดน ที่ระบุว่า GPT-5 สามารถสร้างแอปพลิเคชันซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและให้โค้ดที่แก้ไขง่ายกว่าโมเดลอื่นในตลาดอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของ OpenAI ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สงคราม AI เวลานี้ดุเดือดอย่างยิ่ง คู่แข่งรายใหญ่อย่าง Google, Anthropic และ xAI ของอดีตผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง อีลอน มัสก์
ต่างก็เร่งพัฒนาระบบของตนออกมาท้าชน ขณะที่ยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง DeepSeek ก็กำลังมาแรง ส่วน Meta ก็ทุ่มสุดตัวในสงครามแย่งชิงบุคลากร โดยมีรายงานว่าได้ดึงตัวพนักงานจาก OpenAI ไปร่วมทีมแล้วกว่าสิบคน
เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือพลังทางการเงินมหาศาล OpenAI ที่มีมูลค่าบริษัทกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ได้ระดมทุนไปแล้วหลายหมื่นล้านเพื่ออัดฉีดการวิจัยและพัฒนา และมีข่าวลือว่ามูลค่าบริษัทอาจพุ่งทะยานไปถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ในการซื้อขายหุ้นรอบต่อไป
กลยุทธ์ของ OpenAI ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนาโมเดลที่ทรงพลังที่สุด แต่ยังเดินเกมรุกในทุกมิติ ทั้งการเจาะตลาดภาครัฐด้วยการให้หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ใช้ ChatGPT ในราคาเพียง 1 ดอลลาร์ต่อปี
และการปล่อยโมเดลโอเพนซอร์สฟรีเพื่อสกัดดาวรุ่งอย่าง Meta และ DeepSeek ทั้งหมดนี้เพื่อตอกย้ำว่า บัลลังก์ผู้นำในโลก AI จะยังคงเป็นของ OpenAI ต่อไป


