posttoday

ดีอี คิกออฟ “WebD” แพลตฟอร์ม AI สกัดเว็บฯ เถื่อน ปิดกั้นเพิ่ม 70%

05 กรกฎาคม 2568

“WebD” ชูจุดเด่นทำงานเร็วกว่าเจ้าหน้าที่ 31.5 เท่า ลดขั้นตอนการยื่นคำร้องต่อศาลลงได้ 5 วันทำการ คาดเพิ่มจำนวน URLs ที่ถูกสั่งปิดในปี 68 ได้ถึง 70.7%

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลไทย โดยกระทรวงดีอี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นเจ้าภาพการจัดงาน “The 3rd Global Forum on the Ethics of AI 2025” ร่วมกับ ยูเนสโก ได้รับการตอบรับที่ดี พร้อมทั้งคำชื่นชมจากยูเนสโก ผู้นำประเทศ และเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

ทั้งนี้กระทรวงดีอี พร้อมเดินหน้าการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักการการกำกับดูแลด้วยจริยธรรม AI โดยขณะนี้ได้ดำเนินการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการระงับการแพร่หลายและตรวจสอบการเข้าถึงเว็บไซต์ผิดกฎหมาย หรือที่เรียกว่า “WebD Project” ในรูปแบบแพลตฟอร์ม

สำหรับ แพลตฟอร์ม “WebD” เป็นแพลตฟอร์มเร่งรัดกระบวนการระงับเว็บไซต์ผิดกฎหมายซึ่งมีมากกว่า 100,000 URLs ต่อปี โดยใช้เทคโนโลยี AI และ RPA ในการค้นหา เก็บหลักฐาน สร้างคำร้องต่อศาลแบบ Paperless และส่งคำสั่งไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) โดยอัตโนมัติ พร้อมมีระบบ "URLs Checker" เพื่อตรวจสอบการปิดกั้นอย่างต่อเนื่อง 

จุดเด่นของแพลตฟอร์มดังกล่าว คือ สามารถทำงานได้เร็วกว่าเจ้าหน้าที่ถึง 31.5 เท่า ช่วยลดขั้นตอนการยื่นคำร้องต่อศาลลงได้ 5 วันทำการ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวน URLs ที่ถูกสั่งปิดในปี 2568 ได้ถึงร้อยละ 70.7 จากเดิมในปี 2567 (โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 175 URLs)

นอกจากนี้ “WebD” ยังมีระบบค้นหาและจัดเก็บหลักฐานเว็บไซต์ผิดกฎหมาย (AI Crawler) ซึ่งใช้ในการตรวจสอบ URLs ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย (เทียบเท่าการทำงานโดยเจ้าหน้าที่จำนวน 94 คน) ก่อนส่งต่อไปยังระบบแอปพลิเคชัน สำหรับตรวจสอบ/กลั่นกรองเว็บไซต์ผิดกฎหมาย และเข้าสู่กระบวนการยื่นคำร้องต่อศาล (สร้างคำร้องส่งต่อไปยังศาลอาญาผ่านระบบออนไลน์) กระบวนการสั่งปิด (ระบบส่งคำสั่งศาลไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) และกระบวนการปรับพินัย โดยเป็นการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี AI ร่วมกับการทำงานของเจ้าหน้าที่

การใช้งานแพลตฟอร์ม WebD จะช่วยให้กระบวนการทำงานในการระงับ ปิดกั้นเว็บไซต์ URLs ผิดกฎหมายสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเว็บไซต์ผิดกฎหมายเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของการก่ออาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงดีอีให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาญากรรมทางเทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อประชาชน

ข่าวล่าสุด

ราชวิทยาลัยฯ 'ไม่แนะนำ' ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ รักษาสายตายาวตามวัย