AI และ Remote Sensing เสริมประเมินคาร์บอนเครดิตป่าไม้ไทย
เทคโนโลยีใหม่ช่วยยกระดับการติดตามและประเมินก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ไทย ด้วยการผสานข้อมูลจากดาวเทียมและ AI ผ่านระบบ Smart Forest ที่ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำ
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ในงานสัมมนา “นวัตกรรมสำหรับโครงการ T-VER ภาคป่าไม้” ที่จัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) มีการนำเสนอแนวทางใหม่ในการติดตามและประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกในภาคป่าไม้ โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร่วมกับการสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ผ่านระบบที่เรียกว่า “Smart Forest”
แนวคิดนี้มาจากความร่วมมือระหว่างบริษัทเอกชนในประเทศไทย รวมถึงบริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้นำเสนอแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การติดตามข้อมูลพื้นที่สีเขียวมีความแม่นยำและประหยัดต้นทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในการประเมินศักยภาพของโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ภายใต้ระบบ T-VER ซึ่งเป็นกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบภาคสมัครใจของไทย
ตามคำอธิบายของผู้พัฒนาระบบ การประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าไม้จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการสำรวจภาคสนาม ซึ่งกระบวนการนี้มีทั้งต้นทุนสูง ใช้เวลานาน และเผชิญข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความยากลำบากในการเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลหรือภูมิประเทศที่ซับซ้อน
ระบบ Smart Forest จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนกระบวนการบางส่วนดังกล่าว โดยอาศัยข้อมูลจากดาวเทียมและแบบจำลองทางชีวภาพที่ประมวลผลผ่าน AI เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ป่าไม้ในระดับกว้าง ช่วยให้ผู้พัฒนาโครงการสามารถวางแผน จัดการ และติดตามการดำเนินงานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการรักษาสภาพป่า การป้องกันไฟป่า และการป้องกันการลักลอบตัดไม้
นอกจากนี้ ระบบยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจในการเลือกพื้นที่ดำเนินโครงการ ช่วยลดความเสี่ยงในระดับหนึ่ง และเอื้อต่อการกำหนดแนวทางพัฒนาที่มีความยั่งยืนมากขึ้น
ผู้แทนจาก ปตท. ซึ่งร่วมสนับสนุนข้อมูลและกระบวนการภาคสนามเพื่อใช้ในการตรวจสอบผลลัพธ์ของโมเดลระบุว่า การบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็ฟนส่วนสำคัญในการเพิ่มความแม่นยำของระบบ และอาจเป็นต้นแบบในการพัฒนานวัตกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในอนาคต
แม้แนวทางนี้จะยังอยู่ในช่วงของการผลักดันและประเมินผล แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมศักยภาพให้กับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยอย่างเป็นรูปธรรม และอาจมีบทบาทมากขึ้นหากตลาดคาร์บอนเครดิตไทยขยายตัวในระดับสากล


