Therabot เมื่อ AI จิตแพทย์เริ่มเข้าสู่การทดลองทางคลินิก
Therabot แชทบอท AI เพื่อสุขภาพจิต ช่วยลดภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความผิดปกติด้านการกินได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมดูแลตลอด 24 ชม.
ปัจจุบันการใช้ AI เกิดขึ้นในหลายภาคส่วน แต่ละคนล้วนมีวิธีและรูปแบบการใช้ AI แตกต่างกัน ทั้งใช้ในการทำงาน สนับสนุนชีวิตประจำวัน หรือใช้เพื่อความบันเทิง แต่บางท่านก็อาจเริ่มนำ AI Chatbot มาพูดคุยเพื่อปรึกษาปัญหา กลายเป็นที่ปรึกษาสำหรับระบายความทุกข์ใจกันไม่น้อย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเริ่มมีแนวคิดในการพัฒนา AI Chatbot ช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตเช่นกัน
Therabot สู่ AI ที่ใช้ในการบำบัดจิต
ผลงานนี้เป็นของทีมวิจัยจาก Dartmouth College จากสหรัฐฯ กับการพัฒนา Therabot AI Chatbot ที่ได้รับการออกแบบสำหรับใช้ในการบำบัดและช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ จนช่วยให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า วิตกกังวล ไปจนความกังวลด้านรูปร่างน้ำหนัก และอาการกินจุบจิบให้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
ประเด็นในด้านการนำ AI Chatbot มาช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต ถือเป็นเรื่องที่ได้รับการพูดถึงมาพักใหญ่ ด้วยเหตุนี้ทางทีมวิจัยจึงได้พัฒนาโมเดล Therabot AI ที่ได้รับการพัฒนาจากจิตแพทย์โดยตรงเพื่อบำบัดความคิดและพฤติกรรม เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีปัญหามีโอกาสเข้าถึงความช่วยเหลือทางสุขภาพจิตมากขึ้น
ขั้นตอนการใช้งาน Therabot จะต่างจาก AI Chatbot ทั่วไปอยู่บ้าง เนื่องจากจะไม่เริ่มต้นจากการที่เราเป็นฝ่ายถามแต่ AI จะเป็นฝ่ายถาม เริ่มจากการพูดคุยสนทนาและกระตุ้นให้ตอบคำถามเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก จากนั้นระบบจึงประเมินอาการ เพื่อตรวจสอบแนวทางรับมือช่วยเหลือ
ในขั้นตอนทดสอบร่วมกับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และความผิดปกติทางการกิน เป็นจำนวนกว่า 106 ราย พบว่า Therabot มีส่วนช่วยลดอาการให้แก่ผู้ร่วมการทดลอง โดยผู้ป่วยซึมเศร้ามีอาการดีขึ้นกว่าเดิมราว 51% ผู้ป่วยวิตกกังวลอาการดีขึ้น 31% และผู้มีความผิดปกติในการกินอีก 19%
ทางทีมวิจัยออกมายืนยันว่า นับเป็นผลลัพธ์ที่ให้ระดับใกล้เคียงการเข้ารับการบำบัดทางจิตเวชทั่วไปเลยทีเดียว
ประโยชน์และแนวโน้มการใช้งาน
การพัฒนา Therabot สอดคล้องกับทิศทางการใช้งาน AI ในปัจจุบันของคนส่วนใหญ่ ข้อมูลจากผลสำรวจของเว็บไซต์ Filtered.com พบว่า การใช้งาน AI Chatbot ในปัจจุบันเริ่มเป็นไปในทิศทางขอความช่วยเหลือ ปรึกษาปัญหาชีวิต และจัดการสภาพจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุที่เป็นแบบนี้มาจากผู้ใช้งานไม่น้อยเริ่มไม่ได้มอง AI เป็นเพียงอุปกรณ์ แต่กลายเป็นเพื่อนคู่คิด ที่พร้อมจะรับฟัง พูดคุย และให้คำปรึกษาได้ทุกที่ กระทั่งช่วงเวลาดึกดื่นหรือการเกิดความเครียดสูงอย่างกะทันหัน AI Chatbot ก็สามารถเข้าถึงและพร้อมให้ความช่วยเหลือทุกเวลา
สำหรับ Therabot ยังได้รับการออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ สามารถรับบทบาทเป็นผู้ฟังปัญหาหรือเรื่องทุกข์ใจเงียบๆ โดยไม่มีการตัดสิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยและเราทุกคนต้องการ จึงก่อให้เกิดความสบายใจระหว่างการใช้งาน จนผู้ป่วยมีแนวโน้มเชื่อถือ Therabot และพร้อมจะเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ฟังมากกว่าคนจริง
การใช้งาน Therabot ไม่เพียงช่วยบรรเทาผลกระทบของอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย AI Chatbot ยังช่วยผลักดันพวกเขาให้มีความมั่นใจในการขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเข้ามารับการปรึกษาจากจิตแพทย์และเข้าถึงความช่วยเหลือยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจกลัวแทนจิตแพทย์ว่าจะตกงาน แต่ทีมวิจัยยืนยันว่าต่อให้ผลลัพธ์ของ Therabot จะน่าประทับใจแค่ไหน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่เป็นมนุษย์ยังคงมีความสำคัญ AI จึงมีฟีเจอร์ช่วยเหลือในภาวะวิกฤติ เช่น ในกรณีที่ตรวจพบพฤติกรรมเสี่ยง AI จะโน้มน้าวผู้ใช้งานให้ติดต่อเข้าถึงบริการสุขภาพจิตฉุกเฉินต่อไป
นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่จะเข้ามาแย่งงานหรือแทนที่จิตแพทย์ แต่จะเป็นความช่วยเหลือเบื้องต้นที่ทุกคนเข้าถึงง่าย พร้อมลดภาระจิตแพทย์ไปพร้อมกัน
ปัจจุบันการใช้ AI Chatbot เพื่อบำบัดจิตก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โลกก็กำลังพัฒนาไปในทิศทางนั้น แต่เราต้องไม่ลืมว่า เราไม่สามารถเชื่อ AI ได้ทั้งหมด ทั้งจากกรณีการยุให้ผู้เยาว์ปลิดชีวิตตัวเองของ Character AI, การประจบประแจงมากเกินไปของ Chat GPT หรือการแบล็กเมล์ทีมพัฒนาของ Claude 4 ก็ยังควรเป็นเรื่องที่เราต้องพึงระลึกไว้เช่นกัน
คงต้องรอดูกันต่อไปว่า การใช้ AI เข้ามาช่วยดูแลสุขภาพจิตจะถูกพัฒนาไปในทิศทางใด
ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=FdUHQ6_FE9I
https://home.dartmouth.edu/news/2025/03/first-therapy-chatbot-trial-yields-mental-health-benefits