Meta หันซบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์! หวังป้อนไฟ AI - Data Center ยาว 20 ปี
เมื่อ Data Center และ AI ต้องการพลังงานไม่รู้จบ Meta เลือกมองข้ามแหล่งพลังงานเดิม หันหน้าพึ่งพลังงานนิวเคลียร์เป็นครั้งแรก รองรับความต้องการ AI ที่พุ่งทะยาน
ท่ามกลางความต้องการใช้พลังงานที่พุ่งทะยานไม่หยุดหย่อนจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล (Datacenters) ล่าสุด สำนักข่าว The Guardian รายงานว่า "Meta" บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram กำลังพลิกโฉมการจัดหาพลังงานครั้งสำคัญ
ด้วยการจับมือกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในสหรัฐอเมริกา ข้อตกลงนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ Meta ในการขับเคลื่อนนวัตกรรม แต่ยังเป็นสัญญาณที่น่าสนใจว่า พลังงานนิวเคลียร์อาจกลับมามีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัลอย่างคาดไม่ถึง
Meta หวังพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ ทำไมต้องตอนนี้?
เมื่อเร็วๆ นี้ Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ได้ประกาศข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์กับ Constellation Energy ผู้ให้บริการสาธารณูปโภคในรัฐอิลลินอยส์
โดยมีเป้าหมายเพื่อคงการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แห่งหนึ่งไว้เป็นระยะเวลา 20 ปี นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของพลังงาน แต่คือการลงทุนในอนาคตของ AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า AI และดาต้าเซ็นเตอร์คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบัน แต่การทำงานของเทคโนโลยีเหล่านี้ต้องใช้พลังงานมหาศาล
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งนี้ ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่งต้องเร่งหาแหล่งพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน
- Google ก็เคยทำข้อตกลงเพื่อจัดหาพลังงานนิวเคลียร์ให้กับศูนย์ข้อมูลของตน ผ่านเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก
- Microsoft ก็มีสัญญาที่คล้ายกัน โดยจะนำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island กลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง ซึ่งเป็นสถานที่เคยเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในอดีต จากการรั่วไหลของกัมมันตรังสีที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
การที่บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้หันมามองพลังงานนิวเคลียร์อย่างจริงจัง สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขามองหาแหล่งพลังงานที่มีความเสถียร สามารถผลิตได้ตลอด 24 ชั่วโมง
โดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่หลายองค์กรกำลังให้ความสำคัญ
เบื้องหลังข้อตกลง ที่โรงไฟฟ้าต้องการ
ปัจจุบัน รัฐอิลลินอยส์ ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Clinton Clean Energy Center ของบริษัท Constellation Energy ผ่านโครงการ Zero Emission Credit (ZEC) ซึ่งมีกำหนดจะสิ้นสุดลงในปี 2570
หลังจากนั้น Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) จะเข้ามาสนับสนุนโรงไฟฟ้าแห่งนี้ด้วย ข้อตกลงการซื้อพลังงาน โดยมีเงินลงทุนที่ไม่เปิดเผย เพื่อช่วยในการต่ออายุใบอนุญาตและรักษาสถานะการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าไว้
Urvi Parekh หัวหน้าฝ่ายพลังงานทั่วโลกของ Meta ให้เหตุผลที่น่าสนใจเบื้องหลังข้อตกลงนี้ว่า "สิ่งหนึ่งที่เราได้ยินอย่างชัดเจนจากบริษัทสาธารณูปโภคคือ พวกเขาต้องการความมั่นใจว่าโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจะยังคงทำงานต่อไปได้"
ขณะที่ Joe Dominguez ซีอีโอของ Constellation เปิดเผยว่า บริษัทกำลังหารือกับลูกค้ารายอื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อขยายความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ในลักษณะเดียวกับที่ Meta ได้ทำไปแล้ว
โดยความร่วมมือนี้จะช่วยให้ Constellation สามารถลงทุนที่จำเป็นเพื่อต่ออายุใบอนุญาตและเดินหน้าโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าต่อไปได้
ข้อตกลงนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้โรงไฟฟ้า Clinton สามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 30 เมกะวัตต์ แต่ยังเป็นโมเดลต้นแบบที่น่าสนใจสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ
ในการสนับสนุนโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่มีอยู่เดิม พร้อมกับวางแผนใช้พลังงานนิวเคลียร์แห่งใหม่และแหล่งพลังงานอื่นๆ เพื่อขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลของตนในอนาคต
พลังงานนิวเคลียร์ ทางเลือกที่ถูกมองข้าม?
สำหรับประเทศไทยเอง การถกเถียงเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ก็ยังคงมีอยู่เป็นระยะๆ แต่จากกรณีของ Meta และบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอื่นๆ
การลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์เพื่อรองรับความต้องการของ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ อาจเป็นสัญญาณที่บอกเราว่า พลังงานรูปแบบนี้กำลังจะกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง
ในอนาคตอันใกล้ หากความต้องการพลังงานจาก AI ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง พลังงานนิวเคลียร์อาจกลายเป็นหนึ่งในทางออกหลักที่ประเทศต่างๆ ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง
เพราะนอกจากจะเป็นพลังงานสะอาดแล้ว ยังให้กำลังการผลิตที่มหาศาลและมีความเสถียรสูง
คำถามคือ ประเทศไทยพร้อมแค่ไหนที่จะพิจารณาทางเลือกนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI ในอนาคต?


