ธุรกิจไทยใช้ AI เพิ่ม แต่ยังละเลยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
คินดริล จับมือ ไมโครซอฟท์ เผยผลสำรวจล่าสุด พบว่าแม้ภาคธุรกิจไทยหันมาใช้ AI กันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
KEY
POINTS
- ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าองค์กรมีความสามารถในการบูรณาการโครงการด้านความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ แผนงาน และการใช้เทคโนโลยีขององค์กร
- เกือบ 48% ของธุรกิจไทย ใช้ AI ติดตามการปล่อยมลพิษ
- มีเพียง 18% เท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง
ผลการศึกษา Global Sustainability Barometerซึ่งจัดทำโดย Ecosystm และได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ พบว่า กว่า 82% ของธุรกิจในไทยยังไม่ได้พิจารณาผลกระทบจาก AI ต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่มีเพียง 18% ที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร
แม้ 32% ขององค์กรไทยจะเพิ่มเป้าหมายด้านความยั่งยืนในแต่ละปี แต่ช่องว่างระหว่าง “แนวคิด” กับ “การลงมือทำ” ยังคงมีอยู่มาก
นายกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการ คินดริล ประเทศไทย ชี้ว่า ธุรกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อด้านความยั่งยืน พร้อมเน้นว่าองค์กรควรใช้ “พลังของข้อมูลและ AI” ควบคู่กับการสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมของพนักงาน เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายความยั่งยืนให้เป็นรูปธรรม
เทคโนโลยีมีบทบาท...แต่ยังไม่พอ
ผลสำรวจยังระบุว่า แม้ 48% ขององค์กรไทยใช้ AI เพื่อติดตามประเด็นสิ่งแวดล้อม แต่ยังมี “ช่องว่างความเข้าใจ” เรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจาก AI เอง ซึ่งต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจัง
องค์กรไทยควร ให้ความยั่งยืนเป็นวาระสำคัญระดับองค์กร
ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมวัดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ส่งเสริมการบูรณาการข้อมูลระหว่างแผนก เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำและรวดเร็ว
เชื่อมโยงการทำงานระหว่างทีมกฎหมาย จัดซื้อ ปฏิบัติการ การเงิน และไอที เพื่อเป้าหมายร่วมด้าน ESG
นายแมทธิว เซคอล ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนจากไมโครซอฟท์ ย้ำว่า “การผสานข้อมูลด้านความยั่งยืนเข้ากับข้อมูลทางธุรกิจและการเงิน และนำ AI มาเสริมการวิเคราะห์ จะช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนเป้าหมายได้จริง”
คินดริลและไมโครซอฟท์ยังเสนอแนวทางที่จับต้องได้ เช่น การวัดการปล่อยมลพิษจากระบบ IT และปรับแต่งสถาปัตยกรรม AI ให้เหมาะสม เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานและของเสีย
นายอูลริช เลิฟเฟลอร์ ซีอีโอ Ecosystm มองว่า “AI คือกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืน” โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่องค์กรใหญ่เริ่มขยับตัว สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและอนาคตร่วมของภูมิภาค


