posttoday

ในวันที่ใกล้จะสิ้นสุดการรอคอย

16 มกราคม 2564

โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ขาวการระบาดของCOVID-19 ที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันนี้ เชื่อว่าทุกคนที่ตามข่าว คงจะเบื่อหน่ายกับชีวิตที่มองไม่เห็นฝั่งเต็มทีแล้ว

ผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เบื่อมากๆ แต่ก็ต้องหาข่าวมาฝากให้ทุกท่านรับรู้ ทั้งๆที่เหนื่อยหน่ายแต่ก็ต้องทำครับ

ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประเทศเมียนมาก็มีข่าวดีที่พอจะเป็นความหวังได้ คือ ข่าวของท่านรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน ฯพณฯท่าน หวังอี้ ได้เดินทางเข้าไปเยือนประเทศเมียนมาอย่างเป็นทางการ

และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี อู หวิ่น เมี่ยน และผู้นำสูงสุดดอร์ ออง ซาน ซูจี เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในอนาคต อีกทั้งในวันที่ 12 มกราคมนี้ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทางการจีน ยินดีจะมอบวัคซีนป้องกันเชื้อ COVID-19 ให้แก่ประเทศเมียนมาฟรี เพื่อช่วยเหลือประชาชนชาวเมียนมาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้

สร้างความหวังให้แก่ชาวเมียนมาเป็นอย่างยิ่ง

แม้ก่อนหน้านี้ เมื่อสองอาทิตย์ก่อนนั้น ทางการเมียนมาเองก็ได้สั่งซื้อวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 จำนวน 30 ล้านโดสจากประเทศอินเดีย โดยเป็นวัคซีนที่ได้รับการพัฒนาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย Oxford University กับบริษัท Astra Zeneca

โดยวัคซีนดังกล่าวนี้ จะส่งมอบให้แก่เมียนมาในปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นเรื่องก่อนหน้าที่จะได้รับข้อเสนอจากทางรัฐบาลจีน โดยท่านรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศด้วยซ้ำไป

ข่าวการจัดหาวัคซีนจากประเทศอินเดียครั้งนี้ เป็นข่าวที่สร้างความหวังให้แก่ชาวเมียนมาเป็นอย่างยิ่ง จึงมีการรณรงค์ความรักสามัคคีในประเทศเมียนมาครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่เคยรณรงค์ความรักชาติขึ้นเมื่อประมาณสองปีก่อน

ตอนที่ท่านดอร์ อองซาน ซูจี จะเดินทางไปขึ้นศาลโลกที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์ ในคดีที่ถูกฟ้องเรื่องละเมิดสิทธิ์มนุษยชน ในการฆ่าหมู่ชาวโรฮิงยา ที่รัฐยะไข่ ซึ่งครั้งนั้นก็ก่อให้เกิดกระแสความรักชาติขึ้นมา

ทุกท้องถนนจะมีคนออกมาถือป้ายรณรงค์ให้กำลังใจท่านผู้นำในการต่อสู้คดีความ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ได้เกิดกระแสรู้รักสามัคคีในการสู้ภัยโรคระบาดขึ้น ด้วยการที่ท่านดอร์ อองซาน ซูจีเป็นหัวหอกในการจัดตั้งมูลนิธิ Daw Khin Kyi ขึ้น

จากนั้นก็เริ่มด้วยการบริจาคเงินเป็นเงินขวัญถุงขั้นต้น 10 ล้านจ๊าด ก็ประมาณ สองแสนกว่าบาทก่อน จากนั้นก็มีการรณรงค์กันคนละเล็กคนละน้อย เพื่อนำเงินไปร่วมกันจัดซื้อวัคซีนดังกล่าวจากประเทศอินเดีย

เหตุการณ์ครั้งนี้ การได้แสดงให้เห็นการกระตุ้นกระแสด้วยการอาศัยช่วงโอกาสอันน้อยนิดนี้ ส่วนตัวผมเห็นว่าท่านดอร์ ออง ซาน ซูจี เก่งมากๆ ทำให้ประชาชนที่กำลังอยู่ในช่วงสลดหดหู่ ได้เห็นแสงสว่างปลายอุโมงขึ้นมาทันที และประชาชนเกิดจิตสำนึกถึงสังคมโดยรวมที่น่ายกย่องมาก

ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายๆประเทศไม่ได้มีการขยับใดๆเลย นี่เป็นความชาญฉลาดของท่านจริงๆ อีกประการหนึ่งที่ผมอยากให้เราจับตามอง คือการเครื่อนไหวของรัฐบาลประชาชนจีน ที่เขาเห็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ ด้วยการให้เปล่าวัคซีน

ทั้งๆที่ประเทศอินเดียได้ขายวัคซีนให้แก่ประเทศเมียนมา จีนลงทุนด้วยจำนวนเงินอันน้อยนิดสำหรับประเทศที่มีฐานเศรษฐกิจอันใหญ่อย่างจีน จำนวนเงินค่าวัคซีนแค่นี้ ถือว่าน้อยมากๆ แต่ก็ได้ใจประชาชนเมียนมาไปมากโขที่เดียว

เชื่อว่าการว่านพืชครั้งนี้ เขาจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ระยะยาวในประเทศเมียนมาอีกยาวนานทีเดียว

ในส่วนของประเทศไทยเราเอง ช่วงนี้เรายังคงต้องสาละวนอยู่กับการแก้ไขปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของเจ้าวายร้ายผีน้อย COVID-19 ที่มันกระจายไปทั่วทุกทิศทาง

เรื่องของต้นเหตุที่เป็นภูเขาน้ำแข็งมาช้านานของ “บ่อนการพนัน”หรือ “โกดังเปล่า” แล้วแต่ใครจะเรียก และเรื่องของการหลบหนีเข้าเมืองแบบผิดกฏหมายของแรงงานต่างชาติ ทำให้รัฐบาลเราไม่มีเวลามองไปข้างหน้า

ผมใคร่อยากจะขอเสนอว่า หากเรามีกำลังพอที่จะแบ่งไปมองประเทศเพื่อนบ้านบ้าง เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจไว้รอโอกาสเก็บเกี่ยวที่กำลังจะมาอีกในไม่นานเกินไปต่อจากนี้ คือ หลังเจ้าวายร้ายผีน้อย COVID-19 มันจากไปก็จะดีนะครับ

อย่าลืมว่าหลังจากนี้ไป ในเวลาอีกไม่นาน วันที่เรากำลังรอคอยมานานเกือบปี ก็ใกล้จะกลับมาถึงแล้วนะครับ

เราจะได้เห็นการผงกหัวขึ้นของเศรษฐกิจทั่วโลก เมื่อถึงเวลานั้น หากเรามัวแต่หวังจะพึ่งพาประเทศห่างไกลอย่างยุโรป-อเมริกา หรือตลาดใหญ่ๆในภูมิภาคอื่นๆเท่านั้น  

แล้วเราจะละทิ้งตลาดใกล้หูใกล้ตาที่เป็นตลาดเล็กๆอย่างประเทศในแถบ CLMVไป ปล่อยให้ยักษ์ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลอีกหลายประเทศเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเก็บเกี่ยว

ผมพูดได้คำเดียวว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” แล้วเราจะเสียดายภายหลังนะครับ