posttoday

ขุมทรัพย์ที่แปรเปลี่ยนไป

26 กันยายน 2563

โดย กริช อึ๊งวิฑูรสถิตย์

ทุกครั้งที่ผมอยู่บนเวทีสัมมนาไม่ว่าจะเป็นการบรรยายเดี่ยวหรือการร่วมเสวนาผมมักจะมีอะไรมาบอกเล่าเพื่อนๆผู้ประกอบการ

ทุกคนจะตั้งอกตั้งใจฟังผมมาตลอด ผมจะพูดด้วยประสบการIณ์ที่ผมทำธุรกิจในประเทศแถบอินโดจีน (ปัจจุบันนี้ต้องเรียกว่า CLMV) มานานมากกว่าสามสิบปี แน่นอนว่าทุกฉากทุกตอนที่ผมนำมาเล่านั้น ล้วนแต่ฉายภาพที่อยู่ในสมองของผมตลอดเวลา นำมาฉายซ้ำให้ผู้ฟังได้ฟัง ผู้ประกอบการจึงชอบที่จะฟังผมพูด (แหม..ไม่เข้าข้างตัวเองเลยนะ)

แต่เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ผมไปบรรยายให้กับสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ปรากฎว่าวันนั้นผมเป็นไก่เหงาไปเลยครับเหตุผลเพราะผมถูกตัวเลขของผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศเมียนมาน็อคเอาค์เข้าปลายคางอย่างจังเลยครับ

เพราะก่อนขึ้นเวทีผมได้รับโทรศัพพ์จากย่างกุ้งว่าสถานการณ์ในเมืองย่างกุ้งย่ำแย่มากตอนนี้ไปไม่รอดแน่แล้วนั่นเองครับ

ใจผมจึงนั่งคิดถึงผลที่จะตามมาในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่เฉพาะที่ในประเทศเมียนมา แม้แต่ในประเทศไทยเราเอง ที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมายาวเกินกว่าสองพันสี่ร้อยกิโลเมตร ซึ่งจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จึงทำให้ผมแทบจะไม่มีกะจิตกะใจในการพูดเสวนาเลยครับ 

เราเห็นการระบาดของเจ้าวายร้าย COVID-19 ที่เข้ามาทางตะวันตกของประเทศเมียนมาเข้าทางด้านเมืองชิตต่วยเมืองหลวงของรัฐยะไข่แล้วแพร่กระจายเข้าสู่กรุงย่างกุ้งด้วยช่วงระยะเวลาไม่ถึงเดือน

โดยปฐมเหตุเริ่มต้นจากช่วงเวลาเดือนสิงหาคมได้เกิดการที่ประชาชนในเขตรัฐยะไข่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างกองกำลังอาระกันกับทหารของรัฐบาลเมียนมา

ผู้คนจึงอพยพหนีตายกันจ้าละหวั่นเข้าไปแออัดในค่ายอพยพจึงทำให้เกิดการระบาดจากผู้ที่ได้รับเชื้อจากประเทศเพื่อนบ้านด้านตะวันตกของเมียนมาเราคงไม่จำเป็นต้องบอกนะครับว่าเป็นประเทศบังคลาเทศและอินเดียที่มีชายแดนติดกับเมียนมา

และในช่วงระหว่างวันที่ 10-21 สิงหาคม ผู้คนได้มีการเดินทางจากเมืองชิตต่วยเข้ามาสู่กรุงย่างกุ้ง เฉพาะทางเครื่องบินมีมากถึง 5,409 คน และในช่วงนั้นยังไม่เกิดปัญหาการระบาดของโรคร้าย จึงไม่มีการเฝ้าระวัง การติดต่อคนทั้ง 5,409 คนสามารถติดต่อได้เพียง 3,043 คน

แต่คนที่ยอมมาให้ทางการตรวจดูอาการว่ามีการติดเชื้อหรือไม่มีเพียง 782 คน และที่ยอมให้กักกันตัวมีเพียง 661 คนเท่านั้น นี่คือปฐมเหตุของการระบาดในกรุงย่างกุ้งอย่างรุนแรงนี่เอง และทางกรุงย่างกุ้งเอง กว่าจะรู้ตัวว่ามีการรุกรานจากเจ้าวายร้าย COVID-19 ก็ปาเข้าไปถึงวันที่ 25 สิงหาคมเข้าไปแล้ว

และที่เกิดการผิดปกติและรุนแรงขึ้นนั้น เริ่มในวันที่ 11 กันยายนแล้วครับที่ผมนำมาเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกก็เพราะอยากจะให้เราตระหนักใว้ครับเพราะเราเองก็มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมาที่ยาวมาก

และถ้าหากเกิดการระบาดหนักๆในเมียนมา ซึ่งณ.วันนี้ในกรุงย่างกุ้งก็รุนแรงมากแล้วผมจึงไม่อยากที่จะคิดว่าประวัติศาสตร์อย่าซ้ำรอยประเทศเมียนมาเลยนะครับแต่ถ้าเราไม่ช่วยกันร่วมแรงร่วมใจกันผมก็เชื้อว่าโอกาสที่จะเกิดมีสูงมากครับ

เหตุผลที่เชื่อเช่นนั้นเพราะประเทศไทยเราสะดวกสบายไปทุกเรื่องไม่ว่าคนไทยเราเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเป็นส่วนมาก

อีกอย่างการคมนาคมในประเทศไทยเรานั้นสบายมากๆไปมาหาสู่กันได้หลากหลายช่องทางมากทั้งทางรถยนต์ทางเรือทางอากาศได้หมดถ้าสดชื่นจริงๆครับ

ดังนั้นจึงเป็นที่หวานหมูมากสำหรับการระบาดของเจ้าวายร้าย COVID-19 เพราะมันไม่ต้องไปเสาะหาพาหะนำโรคเลยครับ ผมจึงเป็นกังวลเป็นอย่างมากจริงๆ

ต่อมาในวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ผมจึงเกิดแนวคิดที่จะต้องทำไงต่อไปในการช่วยเหลือประเทศไทย ในการป้องกันเจ้าวายร้าย COVID-19 เข้ามารุกรานเราได้การป้องกันภายในประเทศเรามีหน่วยงานราชการช่วยเหลือกันอยู่แล้ว

แต่นั่นเป็นการป้องกันกันที่ปลายเหตุเราควรจะป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุคือ ทำอย่างไรให้ประเทศเมียนมาลดจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงหรือไม่ให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและอีกประการหนึ่งคือขณะนี้ประเทศเมียนมากำลังเกิดภาวะวิกฤติอย่างหนักหน่วงหากเรายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเขาในช่วงนี้จะเป็นห่วงเวลาที่จะทำให้เขาจดจำเราไปจนวันตาย

ผมจึงตัดสินใจเชิญกรรมการเข้ามาปรึกษาหารือกันในการช่วยเหลือ โดยการเปิดรับบริจาคเครื่องมือการแพทย์ เวชภัณฑ์ ยารักษาโรคเท่านั้น จึงได้ร่วมกับพันธมิตรหลายหน่วยงาน เช่น สภาหอการค้าไทย สมาคมธนาคาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในฐานะที่เป็นสายงานบังคับบัญชาโดยตรงของสภาธุรกิจไทย-เมียนมา

สายการบินนกแอร์ ศูนย์หนังสือซีเอ็ด หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ อัมรินทร์กรุ๊ป  MTCCI บริษัท EUI (Myanmar) BEC-เทโร ได้ร่วมกันเร่งดำเนินการรับบริจาค โดยหากท่านจะบริจาคเป็นสิ่งของเวชภัณฑ์ต่างๆ สามารถบริจาคได้ที่ศูนย์หนังสือซีเอ็ด สามร้อยกว่าสาขาทั่วประเทศ  จากนั้นสายการบินนกแอร์จะรวบรวมส่งต่อไปยังจุดหมายปลายทาง

หรือท่านจะบริจาคเป็นเงิน ท่านสามารถโอนตรงมาที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาไทยเบฟ ควอเตอร์ ชื่อบัญชี “มูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรม” ซึ่งเป็นบัญชีของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หมายเลขบัญชี 009-1-71583-0 เงินที่ท่านบริจาคจะถูกนำไปซื้อเวชภัณฑ์เพื่อส่งไปรวบรวมกันกับสิ่งของที่รับบริจาคมา

โดยสายการบินนกแอร์จะช่วยส่งไปให้ท่าน โดยทางเราจะเริ่มเปิดรับบริจาคตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 กันยายนถึงวันที่ 16 ตุลาคมก็จะปิดการรับบริจาคทันทีครับ

ส่วนท่านใดที่ต้องการใบเสร็จรับเงินเพื่อไปหักลดหย่อนภาษีทางมูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรมสามารถออกใบกำกับภาษีให้ท่านได้ท่านโปรดส่งรายละเอียดมาให้ทางเราจัดการให้ท่านได้เลยครับ