“โบกาฉิ” พลิกดินเสื่อมสู่เกษตรอินทรีย์ เปลี่ยนวิถีชุมชนจังหวัดกระบี่
ชุมชนในจังหวัดกระบี่ได้รับการสนับสนุนจาก กฟผ. ผลิต "โบกาฉิ" สารปรับปรุงดินธรรมชาติ ฟื้นฟูสภาพดินที่เสื่อมโทรมจากการใช้ปุ๋ยเคมี ช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ผลผลิตทางการเกษตร ยางพารา ปาล์ม และกาแฟ เพิ่มขึ้นกว่า 70%
บ้านควนและคลองท่อมใต้ จังหวัดกระบี่ ในอดีตเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่พึ่งพายางพาราและปาล์มน้ำมันเป็นหลัก ปุ๋ยเคมีคือสิ่งคู่สวน และ “ผลผลิตดี” คือเป้าหมายสูงสุดที่ทุกคนยึดถือ
แต่เมื่อราคาพืชเศรษฐกิจเริ่มผันผวน ดินเริ่มเสื่อมสภาพ และผลผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง เสียงสะท้อนจากผืนดินจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามใหม่ “เราจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้อย่างไร?”
จุดเปลี่ยนแห่งปี 2560 พลังเล็ก ๆ จุดประกายความเปลี่ยนแปลง
ก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญเริ่มต้นขึ้นในปี 2560 เมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้ามาสนับสนุน “โครงการชีววิถี” เพื่อผลักดันการทำเกษตรอินทรีย์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในวันนั้นมีสมาชิกในกลุ่มบ้านควนจำนวน 11 คน กล้าลุกขึ้นมาทดลองวิถีใหม่ จนเกิดเป็น “วิสาหกิจชุมชนชีววิถีเกษตรอินทรีย์บ้านควน” นำโดย พี่จุรีย์ กันหกุล ผู้เชื่อมั่นว่า “ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องของผลผลิต แต่คือเรื่องของคนและหัวใจของชุมชน”
การรวมกลุ่มเล็ก ๆ ของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแค่วิธีการเพาะปลูก แต่ยังเปลี่ยน “วิถีชีวิต” ของผู้คนในพื้นที่ เปิดโอกาสให้ครอบครัวที่ขาดรายได้ ผู้พิการ และผู้สูงอายุมีงานทำ มีรายได้ และได้ถือหุ้นร่วมในกิจการ พร้อมสร้างกองทุนการศึกษาให้เด็กและเยาวชนในชุมชนได้เติบโตอย่างมีอนาคต
“โบกาฉิ” หัวใจแห่งการฟื้นฟู
ด้วยความร่วมมือจาก กฟผ. และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกระบี่ ชุมชนจึงได้เรียนรู้การผลิต “โบกาฉิ” สารปรับปรุงดินจากธรรมชาติที่เป็นหัวใจสำคัญของเกษตรอินทรีย์
ในโรงเรือนแห่งนี้ หัวเชื้อ EM มูลสัตว์ รำละเอียด กากน้ำตาล และน้ำสะอาดถูกผสมและหมักเพียง 7 วัน ของเหลือจากธรรมชาติก็แปรเปลี่ยนเป็น “อาหารของดิน” ที่ฟื้นชีวิตให้ผืนดินอีกครั้ง นอกจากนี้ กฟผ. ยังสนับสนุนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต จากเดิมที่ผลิตโบกาฉิได้เพียง 10 กระสอบต่อรอบ วันนี้พวกเขามีกำลังการผลิตกว่า 50–60 ตันต่อปี และมากสุด 70 ตันในปีที่ผ่านมา นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่เพิ่มขึ้น แต่คือหลักฐานของ “ความร่วมมือร่วมใจ” และ “ความเชื่อมั่น” ของคนในชุมชนอย่างแท้จริง
จากดินเสื่อมสู่ดินงาม ผลผลิตเพิ่ม ลดรายจ่าย
เพียงไม่นานหลังใช้โบกาฉิ ผลลัพธ์ก็ปรากฏอย่างชัดเจน ต้นทุนเพาะปลูกที่เคยสูงถึง 30,000 บาทต่อรอบ ลดลงเหลือเพียง 5,000 บาท ขณะที่ผลผลิตกลับเพิ่มขึ้นกว่า 70%
สวนยางและสวนปาล์มที่เคยแห้งแล้ง กลับเต็มไปด้วยพืชผสมผสานหลากชนิด ทั้งกล้วยหอมทองที่คว้ารางวัลระดับจังหวัด พืชผักสวนครัว และไม้ผลนานาชนิด ชุมชนมีแหล่งอาหารในครัวเรือน ลดรายจ่าย และมีรายได้เพิ่มขึ้น
ความหอมละมุนของกาแฟคลองท่อม
ความสำเร็จของบ้านควนไม่หยุดอยู่แค่ในพื้นที่เดิม เพราะ “โบกาฉิ” ได้เดินทางต่อสู่คลองท่อมใต้ ซึ่งเป็นตำบลใกล้เคียงที่ในอำเภอคลองท่อม และเป็นแหล่งปลูกกาแฟโรบัสต้าชื่อดังของจังหวัดกระบี่
พี่สุภานีย์ ศรีสุขสมวงศ์ ประธานแปลงใหญ่กาแฟคลองท่อม และเจ้าของ Yak Space Café เริ่มทดลองใช้โบกาฉิในสวนกาแฟของตนเอง ซึ่งผลลัพธ์เกินความคาดหมาย ดินร่วนซุย ต้นกาแฟแข็งแรง ใบเขียวเข้ม ผลดก และรสชาติดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราคาจำหน่ายจึงขยับสูงขึ้นตามไปด้วย Yak Space Café จึงเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ ที่กลายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในกลิ่นกาแฟและเสน่ห์ของชุมชน
เกษตรยั่งยืนที่เติบโตไปพร้อมกัน
พี่สุภานีย์เล่าว่า โบกาฉิไม่เพียงช่วยฟื้นสวนกาแฟ แต่ยังคืนชีวิตให้สวนปาล์มที่เคยเสื่อมโทรม เพียง 3–4 เดือน ผลผลิตก็เพิ่มขึ้นจาก 35–40 กิโลกรัมต่อรอบ เป็น 60 กิโลกรัมต่อรอบ ขณะเดียวกันต้นทุนปุ๋ยเคมีก็ลดลงกว่าครึ่ง ซึ่งสวนที่ใช้โบกาฉิสามารถทำเกษตรผสมผสานได้ดี ปลูกกาแฟ โกโก้ กล้วย และเลี้ยงผึ้งไปพร้อม ๆ กัน เพราะระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
“ใช้โบกาฉิแล้วดี แต่ไม่อยากใช้อยู่คนเดียว เพราะอยากให้ชุมชนโตไปด้วยกันค่ะ” พี่สุภานีย์เล่าด้วยน้ำเสียงจริงใจ
เธอจ้างชาวบ้านมาช่วยเก็บผลผลิต กระจายรายได้กลับสู่ครัวเรือน สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งจังหวัดตรังและจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน ในวันนี้รายได้จากการจำหน่ายโบกาฉิสูงกว่ารายได้จากสวนยางและสวนปาล์ม ช่วยสร้าง “หลักประกันทางเศรษฐกิจ” ให้ครัวเรือน แม้ราคาพืชผลจะผันผวน โบกาฉิก็ยังขายได้ตลอดปี
ก้าวต่อไปของความยั่งยืน
วิสาหกิจชุมชนชีววิถีเกษตรอินทรีย์บ้านควนตั้งเป้าขยายการใช้โบกาฉิในสวนทุเรียนอย่างน้อยปีละ 5 แห่ง พร้อมทดลองต่อยอดสู่พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น ผักสลัดและพริก ควบคู่กับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ เพื่อก้าวสู่ตลาดใหม่ ห้างสรรพสินค้า และงาน OTOP
จากวันแรกที่มีผู้ร่วมทาง 11 คน ที่มุ่งมั่นเดินหน้าไปด้วยกัน วันนี้ “โบกาฉิ” ได้กลายเป็นพลังชีวิตของทั้งสองชุมชน ซึ่งไม่เพียงฟื้นฟูผืนดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ แต่ยังปลุกพลังในใจผู้คนให้ลุกขึ้นมาร่วมสร้างอนาคตใหม่ด้วยสองมือของตนเอง
เส้นทางของโบกาฉินี้คือภาพสะท้อนของความร่วมมือระหว่างชุมชนและองค์กรที่เชื่อมั่นในศักยภาพของท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงฟื้นดิน ฟื้นสวน ฟื้นเศรษฐกิจครัวเรือน แต่ยังฟื้น “ความหวัง” ให้ชุมชนได้เติบโตอย่างมั่นคงอีกครั้ง
“เมื่อดินกลับมามีชีวิต... ชีวิตของคนก็เติบโตไปพร้อมกัน”


