posttoday

เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยจะขึ้นช้า

20 มิถุนายน 2560

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต email: [email protected]

ช่วงสัปดาห์เศษที่ผ่านมาธนาคารกลางสำคัญนำโดยของสหรัฐ (เฟด) ยุโรป (อีซีบี) และญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้ออกมาปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่กลับปรับลดประมาณการเงินเฟ้อลง

ในส่วนของมาตรการคิวอีนั้น เฟดส่งสัญญาณจะเริ่มปรับลดงบดุล (ถอนคิวอี) ในปีนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อยอีก 4 ปี ก่อนจะลดงบดุลสู่เป้าหมาย 2.0-2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันที่ 4.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะที่อีซีบีส่งสัญญาณพร้อมขยายมาตรการคิวอีหากจำเป็น ส่วนญี่ปุ่นยังเดินหน้าทำคิวอีตามแผน

แนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังอยู่ห่างจากเป้าหมาย 2% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ประกอบกับสภาพคล่องยังคงล้นระบบการเงินโลก ทำให้อัตราดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มขยับขึ้นล่าช้ากว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้

อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ หรือบอนด์ยิลด์ 10 ปีของสหรัฐ ถอยลงจากระดับ 2.6% เมื่อช่วงกลางเดือน มี.ค. 2560 มาแตะที่ 2.125% ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ก่อนจะกระเตื้องขึ้นมาอยู่แถว 2.17% เช่นเดียวกับดัชนีเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนตัวลงมาเคลื่อนไหวใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน

เหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าเงินยังช่วยหนุนการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกด้วย

ภายใต้มุมมองบวกต่อเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยต่ำยาวนาน ส่งผลให้มีการปรับขึ้นประมาณการกำไรหุ้นโลกต่อเนื่องจากช่วงต้นปี

สถานการณ์เช่นนี้ เกื้อหนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ผลตอบแทนรวมนับจากต้นปีถึงวันที่ 15 มิ.ย. ของตลาดหุ้นโลกอยู่ที่ 12.5% ขณะที่ของตลาดหุ้นเกิดใหม่อยู่ที่ 18.5% ส่วนของหุ้นไทยอยู่ที่เพียง 3%

น่าสังเกตว่าหุ้นไทยขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นโลก หลักๆ มาจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวค่อนข้างช้า เมื่อเทียบเคียงกับของภูมิภาคอื่น นอกจากนั้นหุ้นขนาดใหญ่มีโอกาสทำกำไรจำกัด

หุ้นกลุ่มธนาคารถูกกดดันจากปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวล่าช้า ทำให้โอกาสในการแบ่งสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมถูกจำกัดไปด้วย

หุ้นกลุ่มพลังงานเผชิญภาวะน้ำมันล้นตลาด กดราคาน้ำมันแตะจุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน หลังมีรายงานสต๊อกน้ำมันสหรัฐสูงเกินคาด ขณะที่ไออีเอคาดการณ์ว่าประเทศนอกกลุ่มโอเปกจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น

นอกจากนั้น สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างกาตาร์และกลุ่มประเทศอาหรับอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามในการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก

ขณะที่เห็นการปรับขึ้นประมาณการกำไรหุ้นโลกอย่างต่อเนื่อง แต่ของเรากลับถูกปรับลดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี สถานการณ์เริ่มทรงตัวแล้วในช่วง 2 สัปดาห์หลัง

มูลค่าหุ้นไทยเริ่มตึงตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปีก่อนตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% วิ่งนำตลาดหุ้นอื่นไปค่อนข้างไกล ทำให้เหลือโอกาสทำกำไรจำกัดสำหรับปีนี้

แม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวช้า แต่สามารถเลือกซื้อหุ้นรายตัว ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังนี้

1) เศรษฐกิจโลกขยายตัวดี ขณะที่ราคานํ้ามันยังอยู่ในระดับตํ่า ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงต่อเนื่อง ช่วยเติมสภาพคล่องเข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทย

2) อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะขึ้นช้ากว่าที่คาด แม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้

3) การเร่งลงทุนพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)

4) เม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง

หุ้นที่อยู่ในข่ายได้ประโยชน์จากปัจจัยข้างต้นและน่าลงทุน ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ซีพีออลล์ (CPALL) โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เคซีอีอิเล็กทรอนิกส์ KCE) ศุภาลัย (SPALI) ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ซัสโก้ (SUSCO) และเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK)

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศรายชื่อหุ้นที่จะใช้คำนวณดัชนี SET50 ในช่วงครึ่งปีหลัง

รายชื่อหุ้นเข้าใหม่มี 7 หุ้น ได้แก่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) EA เมืองไทยลิสซิ่ง (MTLS) บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO)

รายชื่อหุ้นที่ถูกถอดออก ได้แก่ บริษัท การบินกรุงเทพ (BA) บางจากปิโตรเลียม (BCP) โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ช.การช่าง (CK) พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) การบินไทย (THAI) ดับบลิวเอชเอคอร์ปอเรชั่น (WHA)

กองทุนที่มีสไตล์การลงทุนอิงดัชนี SET50 จะปรับพอร์ตตามตะกร้าหุ้น SET50 ในวันที่มีผลบังคับใช้

นักลงทุนส่วนหนึ่งจะซื้อดักหุ้นที่จะถูกเพิ่มเข้าไปในดัชนี และทำตรงข้ามกับหุ้นที่จะถูกถอดออก

อย่างไรก็ดี ในระยะยาวราคาตลาดมักสะท้อนมูลค่าพื้นฐาน ดังนั้น หากการปรับพอร์ตดังกล่าว ทำให้ราคาตลาดขึ้นไปเกินมูลค่าพื้นฐานจะเป็นโอกาสขายทำกำไร

ในทางตรงข้าม หากราคาตลาดร่วงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานผิดปกติจะเป็นโอกาสช้อนซื้อ

ทั้งนี้ สามารถติดตามบทวิเคราะห์รายหุ้นของธนชาตผ่านแอพพลิเคชั่น Think ที่พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ ทั้งในระบบ iOS และ Android

ดาวโหลดที่นี่ https://goo.gl/BhhePK

พบกันใหม่สวัสดีครับ