posttoday

บทวิเคราะห์: การล่มสลายของ stablecoin ครั้งต่อไปอาจเลวร้ายกว่านี้มาก

03 มิถุนายน 2565

บทวิเคราะห์ของ Bloomberg ว่าด้วยการล่มสลายของ stablecoin จากบทเรียนของ TerraUSD

Bloomberg ระบุว่า การล้มของ TerraUSD เหรียญ stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งจู่ๆ ก็ร่วงหนักจนแทบจะไม่มีมูลค่าเลยนั้น ทำให้โลกคุ้นเคยกับคำว่า stablecoin และได้ตระหนักถึงความไม่เสถียร (unstable) ของคริปโตเหล่านี้

เคราะห์ดีที่การล่มสลายครั้งนี้ไม่มีผลกระทบร้ายแรงต่อระบบการเงินแบบดั้งเดิม แต่หากสหรัฐไม่ดำเนินการในเร็วๆ นี้เพื่อควบคุมสิ่งเหล่านี้ ระบบการเงินแบบดั้งเดิมอาจได้รับผลกระทบ

Stablecoin เกิดขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเก็งกำไรเป็นหลัก ผู้คนต้องการแหล่งพักเงินระหว่างการเดิมพันกับคริปโตที่ผันผวนอย่างดุเดือด ดังนั้นผู้สร้างจึงคิดค้นเหรียญดิจิทัลที่ผูกกับสกุลเงินที่รัฐบาลเป็นผู้ออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่คริปโตต้องการเข้ามาดิสรัปต์ จนถึงปลายเดือน พ.ค. เหรียญทั้งหมดที่ออกมามีมูลค่ารวมกว่า 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าภายในเวลาพียง 2 ปี

นอกจากการพนันแล้ว เทคโนโลยียังมีประสิทธิภาพ stablecoin เคลื่อนที่อยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ข้ามพรมแดน ดังนั้นในทางทฤษฎีสามารถทำธุรกรรมระหว่างประเทศได้เร็วและถูกกว่า ตัวอย่างเช่น อาจช่วยแรงงานที่ไปทำงานต่างแดนประหยัดเงินค่าธรรมเนียมการส่งเงินกลับบ้านเกิดได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เพราะการเคลื่อนย้าย stablecoin ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาธนาคารที่มีแนวโน้มเกิดวิกฤตในกระบวนการจ่ายเงิน ทำให้ระบบการเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และในท้ายที่สุดอาจเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับสกุลเงินดิจิทัลที่รัฐบาลเป็นผู้ออก

น่าเสียดายที่ TerraUSD แสดงให้เห็นแล้วว่า stablecoin ยังไม่น่าเชื่อถือ บางคนอ้างว่ามี “เงินสำรอง” เพียงพอที่จะแลกเหรียญแต่ละเหรียญเป็นดอลลาร์จริง แต่ปกป้องรายละเอียดหรือลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ดังที่เกิดขึ้นกับ Tether เหรียญ stablecoin ที่ใหญ่ที่สุด

Stablecoin อื่นๆ อาทิ algorithmic stablecoin (stablecoin ที่ไม่ได้อิงมูลค่ากับเงินทั่วไปหรือสินทรัพย์ใดๆ แต่ประยุกต์ใช้ระบบอัลกอริทึมในการเทียบมูลค่าให้เท่ากับสกุลเงินตราต่างๆ ให้มูลค่าคงที่-ผู้เขียน) ดูเหมือนจะถูกเสกออกมาจากอากาศอันที่จริง TerraUSD สามารถนำไปแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซีอื่นอย่าง LUNA ที่มีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐได้ จนกระทั่งมูลค่าของทั้งสองเหรียญร่วงอย่างหนักใน “เกลียวมรณะ” ที่มองเห็นได้ล่วงหน้าทั้งหมด

นี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่หากมันไม่ได้กระทบต่อผู้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่มันก็กระทบไปแล้ว ยิ่งโลกคริปโตใหญ่ขึ้น และยิ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้น ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่การล่มสลายของ stablecoin จะทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้างมากขึ้น

ลองนึกถึงตลาดตราสารหนี้เอกชนซึ่งบริษัททั่วไปสามารถกู้ยืมเงินมาเพื่อจ่ายเงินเดือนพนักงานหรือสินค้าคงคลัง และที่ Tether อ้างว่าจะลงทุนราว 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับเป็นเงินสำรอง หากผู้ออก stablecoin เติบโตยิ่งใหญ่เพียงพอ และหากความกังขาเกี่ยวกับการตรึงราคาไว้กับดอลลาร์จุดชนวนให้เกิดการเทขาย ซึ่งเป็นความเป็นไปได้ที่เกิดกับ Tether มาก่อน การเคลื่อนไหวของเงินทุนสามารถลดการเข้าถึงสินเชื่อระยะสั้นของเศรษฐกิจที่แท้จริงได้

เมื่อปี 2008 การดำเนินการกองทุนรวมตลาดเงินได้ทำลายตลาดตราสารหนี้เอกชน และทำให้ภาวะถดถอยที่เลวร้ายอยู่แล้วกลายเป็นเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)

ผู้ออก stablecoin ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายมีแนวโน้มที่จะสร้างความเสี่ยงให้กับทั้งระบบ วิธีแก้ไขคือต้องรับรู้ว่าผู้ออกเป็นธนาคารที่ให้บริการชำระเงินแบบพิเศษ และควบคุมดูแลด้วยความสอดคล้อง ซึ่งหมายความว่าต้องจำกัดการลงทุนอย่างเข้มงวด รวมทั้งต้องมีเงินฝากไว้ในธนาคารกลางสหรัฐ เพื่อให้สิ่งที่อ้างว่ามีมูลค่า 1 ดอลลาร์มีเงินฝากหนุนหลังอยู่

ข้อกำหนดด้านเงินทุนและกฎเกณฑ์อื่นๆ ยังจำเป็นเพื่อป้องกันการแฮ็ก อาชญากรรม และการละเมิด

อันที่จริงกระทรวงการคลังเผยรายงานเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับขั้นตอนที่สภาคองเกรสและเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจำเป็นต้องทำ ฝ่ายนิติบัญญัติกำลังพยายามสร้างแรงสนับสนุนจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันสำหรับการเปลี่ยนแปลง เหลือเพียงการเดินหน้าให้สำเร็จเท่านั้น ซึ่งถ้าจะให้ดีก็ควรจะสำเร็จก่อนที่ stablecoin จะจุดชนวนวิกฤตทางการเงินครั้งต่อไป

REUTERS/Dado Ruvic/File Photo