posttoday

สหรัฐปั้นนายทหารรุ่นใหม่ เตรียมพร้อมรับสงครามหุ่นยนต์-โดรน

24 พฤษภาคม 2565

กองทัพสหรัฐสั่งนักเรียนนายร้อยต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามหุ่นยนต์-โดรนในอนาคต

สำนักข่าว AP รายงานว่า พลเอก มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐ กระตุ้นให้ทหารกองทัพรุ่นต่อไปเตรียมกองทัพของอเมริกาให้พร้อมรับมือกับสงครามในอนาคตที่อาจแตกต่างจากสงครามในทุกวันนี้

มิลลีย์วาดภาพโลกที่น่ากลัวที่นับวันจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนมากขึ้น เนื่องจากบรรดามหาอำนาจตั้งใจจะเปลี่ยนระเบียบโลกใหม่ และบอกกับนักเรียนนายร้อยที่เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบในการทำให้สหรัฐมีความพร้อม

“ความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีนัยสำคัญระหว่างมหาอำนาจกำลังเพิ่มขึ้น ไม่ใช่กำลังลดลง” มิลลีย์กล่าว “อะไรก็ตามที่เราเหนือกว่าทางการทหารมาตลอด 70 ปีที่ผ่านมากำลังปิดลงอย่างรวดเร็ว และสหรัฐจะถูกท้าทาย อันที่จริงเราถูกท้าทายแล้วในทุกด้านของสงคราม อวกาศ ไวเบอร์ ทะเล อากาศ และภาคพื้นดิน”

มิลลีย์กล่าวว่า สหรัฐไม่ใช่มหาอำนาจที่ไม่มีวันถูกท้าทายอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้สหรัฐกำลังถูกทดสอบในยุโรปโดยการรุกรานของรัสเซีย ในเอเชียโดยการเติบโตอย่างน่าทึ่งทางเศรษฐกิจและการทหารของจีนและภัยคุกคามจากนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และในตะวันออกกลางและแอฟริกาโดยความไม่มีเสถียรภาพจากผู้ก่อการร้าย

โดยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทางการทหารได้พบเห็นในสงครามรัสเซียในยูเครน มิลลีย์กล่าวว่า สงครามในอนาคตจะซับซ้อนยิ่งขึ้น ศัตรูที่เข้าใจยากและการทำสงครามในเมืองที่ต้องใช้อาวุธที่มีความแม่นยำในระยะไกล และเทคโนโลยีขั้นสูงใหม่ๆ

สหรัฐเร่งส่งโดรนและอาวุธไฮเทคใหม่ๆ ไปยังยูเครน บางกรณีอาวุธเหล่านั้นยังอยู่ในระยะต้นแบบช่วงต้นๆ อาวุธ อาทิ โดรนกามิกาเซที่ยิงในท่าประทับบ่าและโดรน Switchblade ถูกใช้จัดการกับรัสเซียแม้ว่ายังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา

และในขณะที่สงครามในยูเครนเปลี่ยนแปลง จากความพยายามที่ไม่ประสบความสำเร็จของรัสเซียในการยึดกรุงเคียฟไปสู่สงครามในเมืองในภูมิภาคดอนบัสทางตะวันออก ชนิดของอาวุธก็ต้องเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

สัปดาห์แรกๆ เน้นไปที่อาวุธมีความแม่นยำในระยะไกล เช่น ขีปนาวุธ Stinger และ Javelin แต่ขณะนี้ให้ความสำคัญกับปืนใหญ่และการเพิ่มการจัดส่งปืนครก

และในอีก 20-30 ปีข้างหน้าลักษณะพื้นฐานของสงครามและอาวุธที่ใช้จะยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป

มิลลีย์กล่าวว่า กองทัพสหรัฐไม่อาจยึดติดอยู่กับแนวคิดและอาวุธแบบเก่าๆ แต่ต้องปรับปรุงและพัฒนากำลังและอุปกรณ์ที่สามารถยับยั้ง หรือหากจำเป็นก็ต้องทำให้ชนะในความขัดแย้งระดับโลกให้ทันสมัยอย่างเร่งด่วน และเจ้าหน้าที่ที่กำลังจะจบการศึกษาจะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการคิด การฝึก และการสู้รบของกองกำลังสหรัฐ

มิลลีย์กล่าวอีกว่า ในฐานะผู้นำของกองทัพในอนาคต ร้อยตรีที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาใหม่ๆ จะต้องสู้รบด้วยหุ่นยนต์รถถัง เรือ และอากาศยาน และพึ่งพาปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ เทคโนโลยีการผลิตแบบสามมิติ และวิศวกรรมมนุษย์

“รุ่นของคุณต้องรับภาระและแบกรับความรับผิดชอบในการรักษาความสงบ การควบคุมและการป้องกันการเกิดขึ้นของสงครามมหาอำนาจ” มิลลีย์กล่าว

มิลลีย์อธิบายถึงความล้มเหลวในการป้องกันสงครามระหว่างมหาอำนาจว่าเป็นอย่างไรโดยใช้ถ้อยคำตรงไปตรงมาว่า “ลองนึกถึงว่าทหารและนาวิกโยธินสหรัฐ 26,000 นายถูกสังหารในช่วง 6 สัปดาห์ตั้งแต่ ต.ค.-พ.ย. 1918 ในสมรภูมิการรุกเมิซ-อาร์กอนในสงครามโลกครั้งที่ 1 ลองนึกถึงทหารสหรัฐ 26,000 นายที่เสียชีวิตใน 8 สัปดาห์จากการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีไปจนถึงการทลายปารีส ลองนึกถึงชาวอเมริกัน 58,000 คนที่เสียชีวิตในช่วงฤดูร้อนของปี 1944 จากความเดือดดาลของสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นคือต้นทุนของมนุษย์ในสงครามมหาอำนาจ ใบเสร็จของคนที่ฆ่าคน”

มิลลีย์อ้างถึงเพลงของ บ็อบ ดีแลน ว่า “เราสัมผัสได้ถึงสายลมเบาๆ ในอากาศ เราสามารถเห็นธงพายุโบกสะบัดในสายลม เราได้ยินเสียงฟ้าร้องดังในระยะไกล ฝนกำลังจะตกหนัก”

REUTERS/David Dee Delgado??