posttoday

'มือปราบคัลท์งานเข้า' การจับผิดพระละเอียดอ่อนกว่าการปราบลัทธินอกรีต

12 พฤษภาคม 2565

Cult (คัลท์) เมื่อแปลเป็นไทยแล้วได้ความว่า "ลัทธิบูชา" แต่ความหมายของมันเบาหวิวจนไม่สะท้อนถึงนัยของมันในภาษาอังกฤษที่ใช้เป็นคำดูหมิ่นดูแคลนกลุ่มคนที่เชื่อถืออะไรเป็นตุเป็นตะแล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนขึ้นมา

Cult (คัลท์) ไม่ใช่ศาสนา มันเป็นกลุ่มความเชื่อที่เล็กกว่าศาสนา ส่วนใหญ่ไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร แต่บางครั้งมันกลายเป็นความลุ่มหลงที่คล้ายศาสนา มันไม่มีลิมิต ยึดถือเจ้าลัทธิจนเกินเหตุ ขณะที่เจ้าลัทธิก็หลงอำนาจบารมีจนเกินไป หลายกรณีสั่งให้คนไปตาย ก็ไปตาย

ในภาษาอังกฤษคำว่าคัลท์เป็นคำด่าคำดูแคลนไปแล้ว ไม่ใช่คำกลางๆ และมักจะใช้กับลัทธิกระทำอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ไม่เว้นแม้แต่สาวกของตัวเอง

"ลัทธิพระบิดา" ก็เข้าข่ายเป็นคัลท์อย่างหนึ่ง เพราะว่ากันว่ามีความเชื่อเรื่องกินสิ่งปฏิกูลเจ้าลัทธิ และพบศพเสียชีวิตถึง 11 ราย

ดังนั้น สังคมเราจึงต้องการการสอดส่องดูแลเรื่องคัลท์ หาไม่มันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้คนที่หลงเชื่อได้

ในต่างประเทศมีการ "ล่าคัลท์" กันเป็นปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ศาสนาหลักเสื่อมจากการถูกบิดเบือนและป้องกันคนบริสุทธิ์ไม่ให้ถูกหลอก 

แต่การล่า "คัลท์" นั้นต่างจากการตรวจสอบ "รีลิเจียน" อย่างมาก 

เพราะศาสนานั้นมีการจัดการเป็นระบบ มี "วินัย" ที่เป็นลายลักษณ์อักษร และบางประเทศนั้นศาสนามีรัฐช่วยจัดระเบียบอีกที การไปจับผิดพระที่ถูกกล่าวหานั้นจึงต้องทำผ่านกระบวนการเหล่านี้ จะตั้งศาลเตี้ยโดยพลการเหมือนกับการล่าคัลท์ไม่ได้

ก่อนอื่น เรามาดูกันก่อนว่าคัลท์ที่ควรถูกล่าได้นั้นพึงมีลักษณะอย่างไร

อย่างคัลท์ที่เข้าข่ายอันตรายและมี "ชื่อเสีย" เลื่องลือไปทั่วโลก เช่น ลัทธิ Heaven's Gate หรือลัทธิประตูสวรรค์ก่อเหตุฆ่าตัวตายหมู่ที่ซานดิเอโก เมื่อปี 2540 เสียชีวิต 39 คน เพราะเชื่อว่าเวลาของพวกเขามาถึงแล้ว เมื่อดาวหางเฮล-บอปป์ปรากฏตัวขึ้นในปีนั้น ข้อความในเว็บไซต์ของลัทธิระบุว่า "เฮล–บอปป์ปิดประตูสวรรค์ ...ห้องเรียน 22 ปีของเราบนโลกนี้ใกล้จะจบลงแล้ว คือ 'การสำเร็จการศึกษา' จากระดับวิวัฒนาการของมนุษย์ เรายินดีที่จะออกจาก 'โลกนี้' และไปกับคณะนี้"

นี่คือคือกรณีของความหลงที่ทำให้ตัวเองตาย

ลัทธิ Peoples Temple ของจิม โจนส์ ที่สั่ง (และบังคับ) ให้สาวก 909 คนฆ่าตัวตายพร้อมกันกลางป่าในประเทศกายอานา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 วันนั้นเจ้าลัทธิคือจิม โจนส์ ผู้ทึ่สาวกเชื่อถือว่าเป็น "พระผู้ช่วยให้รอด" สั่งกองกำลังพร้อมปืนและหน้าไม้ล้อมวงสาวกและบอกให้พวกเขาฆ่าตัวตายหมู่ด้วยการดื่มน้ำหวานผสมยาพิษ ไม่ว่าคนเหล่าน้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

นี่คือการบีบให้ตายหมู่พร้อมกันทั้งพวกที่หลงและไม่หลง

พวก Aum Shinrikyo ที่ก่อเหตุโจมตีสถานีรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียวเมื่อปี 2538 จนมีผู้เสียชีวิต 14 คน บาดเจ็บ 1,050 คน เพราะเชื่อว่าโลกจะเกิดมหาสงครามระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่นตามมาด้วยวันสิ้นโลก มีแต่สาวกของลัทธิเท่านั้นที่จะรอดจากวันสิ้นโลกและจะไม่ตกนรกเมื่อถึงวันสิ้นโลก แต่หากคนผู้อื่นถูกสาวกของลัทธิสังหาร คนเหล่านั้นก็จะรอดพ้นจากนรกได้

นี่คือการหลงจนทำให้คนอื่นต้องตาย

กรณีเหล่านี้คงจะพอให้เห็นภาพได้ว่าคัลท์ "หลง" กันแบบไหนและความหลงทำให้ถึงฆาตได้อย่างไร

ในเมืองไทยเรามีคัลท์ที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งระดับเบาะๆ ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย จนถึงระดับหลงไม่ลืมหูลืมตา

การบูชาไอ้ไข่ก็ถือเป็นคัลท์แบบหนึ่ง แต่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใด (ยกเว้นตีเลขหวยผิดตัว) เป็นคัลท์ที่หมายถึงการเชื่อถือบูชานอกกรอบของศาสนาเท่านั้น แม้แต่การกราบไหว้ท้าวเวสวัณ (หรือที่มักเขียนว่าท้าวเวสสุวรรณ) ก็เป็นคัลท์แบบหนึ่ง แต่ยังยึดโยงกับพุทธศาสนา

คัลท์ที่แปลกๆ ในไทยที่คนไทยอาจจะลืมไปแล้ว (เพราะมันมีมากเหลือเกิน) ก็เช่น สำนักปู่สวรรค์ที่โยงศาสนาเข้ากับการเมืองเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น และเหมือนกับคัลท์ทั้งหลาย สำนักปู่สวรรค์ก็มีคำทำนายกับเขาเหมือนกันถึงสงครามโลก สงครามกับคอมมิวนิสต์ และโลกพระศรีอาริย์

แต่คัลท์ในเมืองไทยที่จะเลวร้ายถึงขนาดชี้นำให้คนไปตายหรือฆ่าคนอื่นให้ตายนั้นแทบไม่มี แต่อาจต้องทบทวนกันอีกทีหลังเกิดกรณีลัทธิพระบิดา

คัลท์ที่ทำให้คนไปตายนั้นเรียกว่า Destructive cult หรือ "คัลท์แห่งความหายนะ" มักจะมุ่งเป้าไปที่คนที่มีจิตใจหวั่นไหว หรือคนที่มีปัญหาชีวิต หรือถูกกดขี่จากสังคม เช่น สมาชิกส่วนใหญ่ของ Peoples Temple ของจิม โจนส์ เป็นคนผิวดำอเมริกันที่ถูกเหยียดและกีดกันจากโอกาสในสังคม ลัทธินี้จึงชี้ชวนให้ไปสร้าง "เมืองแมนแดนสวนสวรรค์" กลางป่าประเทศกายานา เพื่อสร้างสังคมคอมมูนเต็มรูปแบบที่คนเท่ากัน แต่มันจบลงด้วยการตายทุกคนเหมือนกัน

ดูเผินๆ แล้วเหมือนหลักการของมันจะดี แต่เพราะคัลท์มีคุณลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องมีเจ้าลัทธิที่มีความน่าเชื่อถืออย่างมาก (หรือชวนให้หลง) เมื่อสาวกหลงหัวปักหัวปำแล้ว จะสั่งให้หันซ้ายหันขวาย่อมได้

แต่เพราะเจ้าลัทธิก็เป็นคนเดินดินเหมือนเราๆ และส่วนใหญ่มักมีปัญหาทางจิต และหลงเสียยิ่งกว่าสาวกตัวอง พวกเจ้าลัทธิจึงใช้ความฝันเฟื่องและอุดมการณ์สวยหรูมาลวงคนที่จิตอ่อนและสภาพชีวิตเปราะบางทำให้พวกเขาลงเอยด้วยความตายในที่สุด

ดังนั้นคนที่หลงเชื่อคัลท์ไม่ควรถูกปฏิบัติดั่งคนโง่หรือคนบ้า แต่ควรปฏิบัติด้วยความเห็นอกเห็นใจ

นอกจากความเปราะบางในชีวิตจนต้องหันมาพึ่งเจ้าคัลท์ บางคนก็ยังเป็นพวกขี้กลัว กลัวสงครามโลก กลัวโลกแตก กลัวตกนรก คนกลุ่มนี้จะตกเป็นเหยื่อของลัทธิวันสิ้นโลก เช่น พวก Aum Shinrikyo หรือพวก Heaven's Gate ในโลกเรามีลัทธิจำพวกนี้เยอะมากจนจาระไนไม่ไหว เพียงแต่ที่สุดโต่งจนพาคนไปตายนั้นมีนับลัทธิได้

ดังนั้น ถามว่าคัลท์เป็นพิษภัยไหม? ในแง่ทางโลกหากมันผิดกฎหมายทั้งอาญาและแพ่งก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งเลวร้ายอะไร ใรแง่ศาสนา บางคัลท์อาจจะไปหยิบยืมหลักการศาสนาอื่นๆ มาบิดเบือน ซึ่งในแง่หลักศาสนาอาจเป็นปัญหาได้ แต่ละศาสนาจึงต้องชี้แจงกันเอาเองว่าไม่เกี่ยวข้อง

บางประเทศที่มีเสรีภาพทางศาสนาแบบครึ่งใบ เช่น ในไทย หากคัลท์บางคัลท์ไปอ้างศาสนาหลักในชาติแล้วบิดเบือนเพื่อรับใช้ตัวเอง ก็มีโอกาสที่จะถูกกำราบได้

แต่ในเมืองไทยเป็นดินแดนที่ "คัลท์" ในตัวมันเอง บางครั้งคนในประเทศนี้เรียกร้องเสรีภาพในศาสนา ให้ทุกคนมีสิทธิเป็นสมาชิกของคัลท์อะไรก็ได้ โดยห้ามรัฐเข้ามายุ่มย่ามและศาสนาหลักห้ามมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของความเชื่อ

แต่พอเกิดกรณีคัลท์ที่ดราม่าหนักๆ เช่น กรณีพระบิดา ก็จะมีคนโวยวายว่าทำไมรัฐไม่ขยับใช้อำนาจรัฐกวาดล้างคัลท์พวกนี้ก่อนที่จะมีเรื่องมีราวขึ้นมา?

ก็อย่างเหตุผลแรก รัฐเข้าไปกวาดล้างคัลท์ตามใจชอบไม่ได้ เพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เว้นแต่คัลท์นั้นๆ ไปป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นแขนงหนึ่งศาสนาหลัก แล้วองค์กรศาสนาร้องเรียนขึ้นมา แบบรัฐเข้าไปแทรกแซงได้

แน่นอนว่า กว่าจะถึงกระบวนการนั้น คัลท์อาจจะทำให้คนตายไปเรียบร้อยแล้ว

แล้วเราจะทำอย่างไร? ตอบว่าคงต้องระแวดระวังกันเอง หากมีญาติพี่น้องไปพัวพันคัลท์แปลกๆ ก็ให้สอบถามคำสอนว่ามันเข้าเค้าเป็นพวก "คัลท์แห่งความหายนะ" หรือไม่ แต่หากเข้าเป็นสาวกเพื่อจะขอหวยก็คงไม่ต้องกังวลมากนัก

ดังนั้นในสังคมจึงเกิดกลุ่ม "คนล่าคัลท์" ขึ้นมา เช่นในเมืองไทยมีคนอย่างหมอปลา ที่ตอนแรกเป็นมือปราบสัมภเวสี ตอนหลังยกระดับเป็นมือปราบเจ้าลัทธิและพระที่กนระทำตัวไม่เหมาะสมเสียแล้ว 

แต่พระไม่ใช่ผีที่มองไม่เห็นตัว และพระไม่ใช่เจ้าพ่อคัลท์เหมือน "พระบิดา" พระนั้นสังกัดคณะสงฆ์ที่มีระเบียบแบบแผนจัดการทั้งด้วยพระวินัยและพระราชบัญญัติต่างๆ 

เอาแค่เฉพาะพระวินัยจัดการภิกษุนอกรีตก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงใช้อำนาจรัฐ ยิ่งไม่ต้องใช้อำนาจคนล่าคัลท์ หากพบพระนอกรีตก็ไห้แจ้งคณะสงฆ์ สงฆ์จะตั้งสอบอธิกรณ์กันเอง ไม่ใช่หน้าที่ของคนนอก

การไปเรียกสื่อมาประจานแล้วสื่อไปแขวนให้คนด่ากันต่อ ต่อให้พระผู้นั้นผิดจริง ก็ไม่ยุติธรรม เพราะทั้งคนล่าคัลท์และสื่อไม่ใช่คณะสอบอธิกรณ์ จะทำตัวเป็นศาลเตี้ยไม่ได้ ที่ทำได้คือแจ้งให้ผู้รับผิดชอบได้ทราบเท่านั้น

ยังไม่นับว่าศาสนาพุทธไม่ใช่คัลท์และมีจารีตคือพระวินัยที่ละเอียดละออตอบรับทุกสถานการณ์ จะมาปราบแบบพระบิดา ซึ่งเป็น Destructive cult เป็นนอกรีตจริงๆ ไม่ได้ 

คนล่าคัลท์จึงต้องสำรวมตัวเองให้ดี เพราะอาจทำพลาดไปใส่ความคนที่แก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ 

ในสหรัฐเคยมีองค์กรเอกชนที่คอยจับตาคัลท์โดยเฉพาะ เช่น Cult Awareness Network แต่มันมักจะทำงานเชิงรุกเหมือนหมอปลา ทำให้เกิด "สงครามคัลท์" ระหว่างพวกต่อต้านคัลท์กับคัลท์ต่างๆ มันรุกหนักจนถึงกับเคยบอกเจ้าหน้าที่ให้จัดการเจ้าลัทธิหนึ่งด้วยวิธีการจับตายก็เคยมาแล้ว

นี่แหละคืออันตรายของพวกล่าคัลท์ที่คิดว่าตัวเองมีพันธกิจอันยิ่งใหญ่ จึงทำอะไรเกินตัว

พอทำอะไรเกินตัวก็จะจบไม่สวย เช่น Cult Awareness Network ผลสุดท้ายองค์การนี้ต้องล้มละลายและขายต่อ แต่คนที่ซื้อไปไปเปิดองค์กรชื่อคล้ายกันแต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าของก็เกี่ยวข้องกับคัลท์ใหญ่ในสหรัฐ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยกับคัลท์ต่างๆ กลายเป็นว่ามันถูกซื้อเพื่อเอาไปใช้งานงานตรงกันข้ามกับจุดประสงค์เดิม

ส่วนการจะให้รัฐเข้ามาสอดส่องก็ต้องระวังให้ดีด้วย เพราะหากเป็นพวก "คัลท์แห่งความหายนะ" ที่บ้าดีเดือดอาจจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมเหมือนกรณีการล้อมเวโก (Waco siege) ที่เจ้าหน้าที่สหรัฐสนธิกำลังกันปิดล้อมสำนักงานของลัทธิแบรนช์ดาวิเดียนส์ (Branch Davidians) ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน พ.ศ. 2536

การปิดล้อมจบลงด้วยเพลิงไหม้ศูนย์กลางของคัลท์นี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 76 รายในกองเพลิง รวมแล้วการปิดล้อมนี้มีคนตายทั้งสาวกและเจ้าหน้าที่รวม 82 ราย

แต่จนบัดนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเพลิงไหม้ที่คร่าชีวิตสาวกของแบรนช์ดาวิเดียนส์เกิดจากพวกเขาวางเพลิงเอง หรือเพราะเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปจนติดไฟลุกลาม กลายเป็นจุดจบของคัลท์นี้

จะเห็นได้ว่าแม้แต่การจับคัลท์ยังมีจุดจบที่นองเลือดได้เหมือนกัน มันไม่ใช่งานที่จะทำแบบโผงผางได้ 

โดย กรกิจ ดิษฐาน

Photo - ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา - พระภิกษุสงฆ์ดูตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและกระบอกฉีดน้ำสลายนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เรียกร้องการลาออกของประธานาธิบดีโคตาบายา ราชปักษา แห่งศรีลังกา เกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ใกล้อาคารรัฐสภาในกรุงโคลัมโบ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ภาพโดย ISHARA S. KODIKARA / AFP)