posttoday

ความแกร่งของฟินแลนด์ในสงครามที่ทำให้โซเวียตต้องขายหน้า

21 เมษายน 2565

และยูเครนก็อาจทำได้ เมื่อมองดูสถานการณ์จาก Winter War จะพบว่าการรุกรานของโซเวียตและ/หรือรัสเซียอ้างเหตุผลคล้ายๆ กัน และอาจจบลงคล้ายๆ กัน

1. ฟินแลนด์เคยเป็นภาคตะวันออกของราชอาณาจักรสวีเดนจนถึงต้นศตวรรษที่ 19 ต่อมาจักรวรรดิรัสเซียได้ทำสงครามกับราชอาณาจักรสวีเดน โดยอ้างว่าเป็นการปกป้องเมืองหลวงของรัสเซีย คือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่อยู่ใกล้กับชายแดนของฟินแลนด์ และในที่สุดก็นำไปสู่การยึดครองและการผนวกฟินแลนด์และการแปรสภาพฟินแลนด์เป็นรัฐกันชนอิสระ

2. จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 รัสเซียเริ่มพยายามกลืนฟินแลนด์โดยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ แต่พยายามเหล่านั้นสะดุดลงไปเพราะความขัดแย้งภายในของรัสเซีย ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และการปฏิวัติรสเซียโค่นล้มระบอบจักรวรรดิและแทนที่สหภาพโซเวียต วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2460 วุฒิสภาฟินแลนด์ก็ประกาศเอกราช สหภาพโซเวียตก็ยอมรับรัฐบาลฟินแลนด์

3. ในฟินแลนด์เองแม้จะได้รับเอกราช แต่เกิดสงครามกลางเมืองยาวนานหลังจากนั้น ระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายชาตินิยม และทำให้โซเวียตต้องเข้าไปแทรกแซงบางครั้งส่วนฝ่ายคอมมิวนิสต์ฟินแลนด์ก็เข้าไปอาสัยในสหภาพโซเวียตเพื่อเป็นฐานที่มั่นเคลื่อนไหวทางการเมืองและลอบสังหารฝ่ายชาตินิยม

4. ขณะเดียวกับฝ่ายชาตินิยมในฟินแลนด์ก็ส่งกำลังเข้ามายุยงปลุกปั่นคนฟินแลนด์ในโซเวียตที่อาศัยในกาเลเรียตะวันออก (East Karelia) ซึ่งเป็นแคว้นหนึ่งของสหภาพโซเวียตที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนชาวฟินแลนด์โบราณ แต่ต้องอยู่ในการปกครองของแผ่นดินรัสเซีย การปลุกปั่นของฟินแลนด์ทำให้เกิดกรณีการลุกฮือในกาเลเรียตะวันออก (East Karelian uprising) ที่ลงท้ายด้วยการที่โซเวียตและฟินแลนด์ทำข้อตกลงไม่ล้ำพรมแดนกัน ต่อมาเมื่อสตาลินผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำสหภาพโซเวียต คิดว่าขบวนการโปรฟินแลนด์ในกาเรเลียเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเลนินกราด (อดีตเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) และพื้นที่และแนวป้องกันของฟินแลนด์สามารถนำมาใช้เพื่อบุกสหภาพโซเวียตหรือจำกัดการเคลื่อนไหวของกองทัพเรือโซเวียตได้

5. เมื่อสตาลินได้รับอำนาจอย่างสมบูรณ์จากการกวาดล้างครั้งฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองใหญ่ในปี พ.ศ. 2481 โซเวียตได้เปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของต่อฟินแลนด์ และเริ่มจริงจังกับการการยึดครองฟินแลนด์โดยมองว่าฟินแลนด์คตือแคว้นของรัสเซียที่ต้องสูญเสียไปไประหว่างการปฏิวัติรัสเซียและสงครามกลางเมืองรัสเซียเกือบสองครั้งเมื่อหลายสิบปีก่อน

6. บรรดาผู้นำโซเวียตเชื่อว่าพรมแดนที่ขยายออกไปให้เหมือนกันสมัยจักรวรรดิรัสเซียเดิมนั้นจะช่วยรักษาความปลอดภัยอาณาเขตของโซเวียตและพวกเขาต้องการให้เลนินกราด ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนฟินแลนด์เพียง 32 กม. มีความปลอดภัยในระดับที่ใกล้เคียงกันเพื่อต่อต้านอำนาจที่เพิ่มขึ้นของนาซีเยอรมนีที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ

7. ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2482 โซเวียตได้ติดต่อกับรัฐมนตรีต่างประเทศฟินแลนด์ รูดอล์ฟ ฮอลสติ และนายกรัฐมนตรี ไอโม คายันเดอร์ ของฟินแลนด์ โดยระบุว่าโซเวียตไม่ไว้วางใจเยอรมนี และอาจเกิดสงครามระหว่างทั้งสองประเทศ และโซเวียตจะไม่นิ่งนอนใจ โดยจะส่งทหารมาต้านศัตรูเสียแต่เนิ่นๆ นั่นหมายความว่าโซเวียตต้องการดินแดนของฟินแลนด์เมื่อใช้เป็นแนวต้าน แต่ฟิแลนด์ไม่ยอมและยืนยันว่าฟินแลนด์จะเป็นกลาง

8. ตอนแรกนั้นโซเวียตกับนาซีเยอรมันพยายามสร้างดุลอำนาจอย่างประนีประนอมระหว่างกันผ่าน "กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ" (Molotov–Ribbentrop Pact) โดยโซเวียตและนาซีเยอรมันตกลงจะไม่รุกรานกันและกัน และประเทศทั้งสองจะไม่เข้ากับพันธมิตรใดๆ ที่โจมตีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สัญญานี้ลงนามกันเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2482

9. ข้อตกลงนี้ยังเป็นการแบ่งอำนาจกันยึดครองประเทศเล็กๆ ในอาณาบริเวณโดยรอบของทั้งสองด้วย คือ เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ร่วมกันบุกครองโปแลนด์แล้วแบ่งพื้นที่ปกครองกันคนละฝั่ง (กรณีนี้เป็นเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรป) และยังมีข้อตกลงลับยกเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนียและดินแดนทางตอนเหนือของโรมาเนียเข้าไปอยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต และฟินแลนด์ก็ถูกข้อตกลงนี้ยกให้เป็นเขตอิทธิพลของโซเวียต

10. เมื่อวันที่ 17 กันยายน โซเวียตบุกโปแลนด์ฝั่งตะวันออกส่วนนาซีรุกรานฝั่งตะวันตก และในไม่ช้าโซเวียตกก็ผนวกเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย ทั้งหมดถูกบังคับให้ยอมรับสนธิสัญญาที่อนุญาตให้โซเวียตสร้างฐานทัพทหารบนดินแดนของประเทศเหล่านี้ และประเทศเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซวียตไปจนถึงปี 1989 - 1991

11. ฟินแลนด์คือรายต่อไปแน่นอน ฟินแลนด์รู้ตัวดี จึงเริ่มระดมพลทีละน้อย ส่วนโซเวียตได้เริ่มระดมกำลังอย่างเข้มข้นใกล้ชายแดนฟินแลนด์มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2482 แผนปฏิบัติการที่โซเวียตทำขึ้นในเดือนกันยายนเรียกร้องให้เริ่มการบุกรุกในเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะบุก โซเวียตเชิญผู้แทนฟินแลนด์มายื่นคำขาดก่อน โดยขอดินแดนคอคอดกาเรเลียนระยะ 30 กม. ทางตะวันออกและให้ฟินแลนด์ให้ทำลายป้อมปราการที่มีอยู่ทั้งหมดบนคอคอดกาเรเลียน ขอเกาะในอ่าวฟินแลนด์และคาบสมุทรรือบาชือ และฟินแลนด์จะต้องเช่าคาบสมุทรอันโคเป็นเวลา 30 ปี และอนุญาตให้โซเวียตตั้งฐานทัพที่นั่นได้ แต๋โซเวียตจะแลกกับดินแดนในแคว้นกาเลเรียตะวันออกให้รวมแล้วมากกว่าที่ขอจากฟินแลนด์ 2 เท่า

12. ข้อเสนอเหล่านี้ทั้งสองฝ่ายเถียงกันไปเถียงกันมา ท้ายที่สุดยังไม่ได้ได้ข้อสรุป โซเวียตก็ลงมือรุกรานฟินแลนด์ก่อน ซึ่งก่อนสงคราม สตาลินและผู้นำกองทัพโซเวียตบางคนคาดหวังชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ โดยที่กองทัพแดงเพิ่งเสร็จสิ้นการบุกโจมตีโปแลนด์ตะวันออกโดยเสียทหารน้อยกว่า 4,000 คน หลังจากที่เยอรมนีโจมตีโปแลนด์จากทางตะวันตกแล้วทั้ง 2 ฝ่ายก็แบ่งโปแลนด์กันปกครอง

13. แต่แม่ทัพโซเวียตบางคนไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น เพราะสภาพภูมิประเทศของฟินแลนด์เต็มไปด้วยทะเลสาบ หนองบึง ป่าเขา และไร้ถนน ยิ่งแม่ทัพโซเวียตบางคนคิดจะเอาอย่างการกลยุทธ์บุกแบบสายฟ้าแลบของพวกนาซี ( Blitzkrieg) ยิ่งไม่เหมาะกับพื้นที่นี้ เพราะการบุกแบบ Blitzkrieg เหมาะกับพื้นที่ราบและมีถนนหนทางพอสมควรในพื้นที่ยุโรปกลาง ตางจากฟินแลนด์ที่ค่อนข้างทุรกันดาร

14. ว่ากันด้วยกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์แล้วฟินแลนด์ด้อยกว่าโซเวียตมาก แต่พวกเขามีสภาพภูมิประเทศที่เป็นใจ แนวพรมแดนที่ติดต่อกับสหภาพโซเวียตถึง 1,340 กิโลเมตรนั้นแม้จะยาวมากก็จริง แต่มันบุกเข้ามาลำบากเพราะไม่มีถนนหนทางเอาเลย มีแต่ทางลูกรังไม่กี่สายเท่านั้น จุดอ่อนของฟินแลนด์อีกเรื่องคือสังคมที่ยังประสานกันไม่ติดเนื่องจากสงครามกลางเมือง ที่เป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายขาว (อนุรักษ์นิยม, เสรีประชาธิปไตย และทุนนิยม) และฝ่ายแดง (ฝ่ายแรงงาน, สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์)

15. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 กองกำลังโซเวียตก็บุกฟินแลนด์โดยแบ่งเป็น 21 กองพล รวม 450,000 นาย และทำการทิ้งระเบิดกรุงเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ร้องเรียนต่อสันนิบาตชาติเรื่องการรุกรานของสหภาพโซเวียต สันนิบาตจึงขับไล่สหภาพโซเวียตออกเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และตักเตือนสมาชิกให้ช่วยเหลือฟินแลนด์

16. แม้ว่าจะเผชิญกับกองกำลังที่เหนือกว่าในทุกด้านและสังคมที่ยังแตกแยก แต่ก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น เมื่อชาวฟินแลนด์ทุกหมู่เหล่าที่เคยไม่สามัคคีกันเพราะอุดมการณ์การเมืองที่ต่างกัน หันมาร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านผู้รุกราน สิ่งนี้เรียกว่า "จิตวิญญาณแห่งสงครามฤดูหนาว" (Talvisodan henki) โดยเฉพาะชนชั้นแรงงงานและฝ่ายสังคมนิยมที่ก่อนหน้านี้เชื่อมันในโซเวียต (เพราะมีอุดมการณ์เดียวกัน) หันมาสนับสนุนรัฐบาลที่ชอบธรรมที่เฮลซิงกิ แทนที่จะสนับสนุนรัฐบาลหุ่นเชิดฝ่ายสังคมนิยมที่โซเวียตตั้งขึ้นมา

17. วิธีการรบกับกองทัพใหญ่กว่าที่ได้ผลคือการรบแบบกองโจร ซึ่งฝ่ายฟินแลนด์ใช้วิธีนี้ได้ผลในหลายสมรภูมิทำให้โซเวียตต้องล่าถอยไปอย่างไม่น่าเชื่อ บวกกับความชำนาญพื้นที่และความเชี่ยวชาญในการใช้สกี รวมถึงการซุ่มโจมตีทำให้การรบของฟินแลนด์เหนือกว่าจนเอาชนะโซเวียตได้ในบางสมรภูมิ เช่น สมรภูมิถนนราอาเท โซเวียตเสียชีวิต 7,000–9,000 คน ขณะที่ฟินแลนด์เสียไปเพียง 400 กองทหารฟินแลนด์ยังยึดรถถัง ปืนใหญ่ ปืนต่อต้านรถถัง รถบรรทุกหลายร้อยคัน ม้าเกือบ 2,000 ตัว ปืนไรเฟิลหลายพันกระบอก และอาวุธยุทโธปกรณ์และเวชภัณฑ์ที่จำเป็นจำนวนมาก

18. "สงครามฤดูหนาว" ยังสมชิ่อของมันเพราะอุณหภูมิที่หนาวจัดในช่วงเดือนมกราคมปีนั้น แม้ว่าทหารโซเวียตและฟินแลนด์จะทนทานความหนาวได้พอๆ กัน แต่เมื่อพวกกับสภาพพื้นที่โหดหินแล้ว โซเวียตกลับด้อยกว่า เช่นการรบที่แลปแลนด์ ในช่งวงฤดูหนาวพื้นที่นั้นม่มีแสงแดดเลย มีแต่ความมืดที่เกือบจะคงที่และอุณหภูมิสุดขั้วของฤดูหนาวที่แลปแลนด์เป็นประโยชน์ต่อฟินแลนด์ เอื้อต่อการรบแบบกองโจรโจมตีสายส่งเสบียงและการลาดตระเวนของสหภาพโซเวียต เป็นผลให้ขบวนการโซเวียตต้องชะงักทั้งๆ กำลงพลเหนือกว่าฝ่ายฟินแลนด์มาก

19. สตาลินไม่พอใจกับผลการรบในเดือนธันวาคมอย่างมาก ส่วนกองทัพแดงก็ต้องขายหน้า เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สามของสงคราม สหภาพโซเวียตทำการโฆษณาชวนเชื่อเพื่ออธิบายความล้มเหลวของกองทัพโซเวียตต่อประชาชนโดย กล่าวโทษภูมิประเทศที่ทุรกันดารและสภาพอากาศที่เลวร้าย และการอ้างว่าแนวมานเนอร์ไฮม์ (Mannerheim Line) ซึ่งเป็นแนวปราการที่ฟิอนแลนด์ตั้งไว้ต้านการรุกของโซเวียต นั้นแข็งแกร่งกว่าแนวมาฌีโน (Maginot Line) ที่ฝรั่งเศสสร้างเอาไว้ต้านทานการรุกของยอรมนี และยังอ้างว่าพวกอเมริกันได้ส่งนักบินที่ดีที่สุด 1,000 คนมาช่วยฟินแลนด์

20. ในวลาต่อมาโซเวียตปรับยุทธวธีการรบใหม่ แทนที่จะบุกแบบเบ็ดเสร็จซึ่งไม่ได้คืบหน้าแถมยังแพ้ในบางสมรภูมิ มาเน้นที่การรุกกาเรเลียน ซึ่งเป็นพื้นที่แคบๆ เชื่อต่อระหว่างเลนินกราดกับพรมแดนฟินแลนด์และมีแนวป้องกันที่แข็งแกร่งของฟินแลนด์ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ กองทัพแดงเริ่มโจมตีครั้งใหญ่ โดยระดมยิงปืนใหญ่ถล่มแนวฟินแลนด์ซึ่งใน 24 ชั่วโมงแรกของการยิงถล่มใช้กระสุนปืนถึง 300,000 นัด

21. ทหารฟินแลนด์เข้าหลบภัยภายในป้อมปราการจากการทิ้งระเบิดและอกมาซ่อมแซมความเสียหายในตอนกลางคืน แต่สถานการณ์ดังกล่าวนำไปสู่ความอ่อนล้าในสงครามอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวฟินน์ ซึ่งสูญเสียทหารกว่า 3,000 นายในสงครามสนามเพลาะและการยิงถล่มแบบไม่หยุดหย่อน หลังจาก 10 วันของการระดมยิงด้วยปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง โซเวียตได้บุกทะลวงคอคอดกาเรเลียนตะวันตกได้สำเร็จ แต่แม้ฝ่ายฟินแลนด์จะล่าถอยไปบ้างและมีกำลังคนน้อยกว่า จนแล้วจนรอดในเดือนกุมภาพันธ์ก็ยังต้านการรุกของโซเวียตไว้ได้จนการรบไม่คืบหน้า

22. ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ เป็นที่ชัดเจนว่ากองกำลังของฟินแลนด์ใกล้จะหมดแรงอย่างรวดเร็ว ฝ่ายโซเวียตก็มีผู้บาดเจ็บล้มตายสูง และผลการรบที่ออกมายังเป็นที่ขายหน้าต่อบรรดาผู้นำโซเวียต ทั้งยังมีความเสี่ยงที่ฝรั่งเศส-อังกฤษจะเข้ามาแทรกแซง เมื่อฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาและหิมะละลายกองกำลังโซเวียตก็เสี่ยงที่จะจมโคลนอยู่ในป่ากลายเป็นเป้าหนิ่งให้ถูกโจมตี

23. แต่รัฐบาลฟินแลนด์ก็ตระหนักเช่นกันว่าความช่วยเหลือดด้านการทหารของฝรั่งเศส-อังกฤษอาจจะไม่มาถึงทันเวลา เนื่องจากนอร์เวย์และสวีเดนไม่อนุญาตให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเดินทางผ่าน จึงแทบไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับเงื่อนไขของสหภาพโซเวียตที่ขอให้ฟินแลนด์ยกพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ให้ นั่นคือแคว้นกาเลเรียบางส่วนและคอคอดคาเลเรียน ประธานาธิบดี คเยิสต์ คัลลิโอ ฟินแลนด์รู้สึกเจ็บปวดและไม่ยินยอมที่จะมอบดินแดนใด ๆ ให้กับสหภาพโซเวียต แต่ถูกบังคับให้ตกลงที่จะลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพมอสโกแต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเงื่อนไขนี้ได้

24. ในสงครามครั้งนี้ ความคิดเห็นของโลกส่วนใหญ่สนับสนุนฟินแลนด์ และเห็นว่าการรุกรานของสหภาพโซเวียตไม่ยุติธรรม แม้ว่าฟนิแลนด์จะสูญเสียดินแดนไปพอสมควรและกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่งหนัก แต่ว่าด้วยจำนวนความสูญเสียเป็นรายบุคคล ฝ่ายโซเวียตสูญเสียถึง 321,000–381,000 คน ส่วนฟินแลนด์สูญเสียไป 70,000 คน โซเวียตยังสูญเสียยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมากเหลือเชื่อ เช่น รถถังประมาณ 1,200–3,543 คัน (ฟินแลนด์เสียไป 20–30) เสียเครื่องบินรบ 261–515 ลำ (ฟินแลนด์เสียไป 62 ลำ)

25. แน่นอนว่า สหภาพโซเวียตได้สิ่งที่ต้องการมากกว่าสิ่งที่เสนอไปก่อนสงคราม แต่ความสูญเสียมหาศาลของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สะท้อนถึงความมั่นใจตัวเองมากกเกินไปของฝ่ายนำในโซเวียตและยังดำเนินยุทธวิธีการรบที่ผิดพลาดและเลินเล่อหลายครั้ง (บางครั้งมั่นใจในชัยชนะถึงกับเตรียมเดินสวนสนามแต่กลับแพ้ยับเยิน) ความผิดพลาดหนึ่งในนั้นมากจากโครงสร้างการบัญชาการของโซเวียต ที่จะใช้อำนาจบัญชาการแบบบนลงล่างเหมือนกองทัพทั่วๆ ไป กลับส่ง "คอมมิสซาร์" หรือผู้แทนฝ่ายการเมืองมาร่วมแสดงความเห็นในแนวหน้าด้วย ทำให้การรบรวนเรไม่สมเหตุผล หลังจากสงครามนี้่โซเวียตจะเลิกใช้แนวทาง "การเมืองนำการทหาร" แบบนี้ไประยะหนึ่งเพราะทราบแล้วว่ามันหายนะแค่ไหน

ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ภาพจาก Finna (CC BY 4.0)

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด วอลเลย์บอลชาย ซีเกมส์ ไทย พบ ฟิลิปินส์ วันนี้ 28 ธ.ค.68