posttoday

ผู้มีอิทธิพลในรัสเซียอาจหาญวางแผนลอบวางยาพิษปูติน

22 มีนาคม 2565

เมื่อเร็วๆ นี้ปูตินเพิ่งสั่งเปลี่ยนคนงานในเครมลินยกชุดนับพันคนเพราะกลัวว่าจะถูกวางยาพิษ

หน่วยข่าวกรองของยูเครนเผยว่า กลุ่มอีลีทในรัสเซียกลุ่มหนึ่งวางแผนกำจัดประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ด้วยการวางยาพิษ และไปไกลถึงขั้นวางตัวให้ อเล็กซานเดอร์ บอร์ตนิคอฟ ผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับ FSB นั่งเก้าอี้แทนปูติน เพราะหวั่นผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตกต่อรัสเซีย

Dailymail รายงานว่า ผู้อำนวยการใหญ่หน่วยสืบราชการลับยูเครนเผยว่า “เป็นที่ทราบกันว่าบอร์ตนิคอฟและตัวแทนผู้มีอิทธิพลคนอื่นๆ ของชนชั้นสูงรัสเซียกำลังพิจารณาทางเลือกต่างๆ เพื่อกำจัดปูตินออกจากอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางยาพิษ ทำให้ป่วยแบบเฉียบพลัน หรือเหตุบังเอิญอื่นๆ”

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้บอร์ตนิคอฟเคยทำงานเคียงข้างกับปูตินในหน่วยสายลับ KGB แต่หลังจากเกิดความสูญเสียกับกองทัพรัสเซียในยูเครนเมื่อเร็วๆ นี้เขาก็ไม่ใช่คนโปรดของปูตินอีกต่อไป ถึงอย่างนั้นบอร์ตนิคอฟก็ยังมีอิทธิพลในกลุ่มคนวงในในรัสเซีย

แหล่งข่าวตะวันตกคนหนึ่งเผยกับ Daily Mirror ว่า “ข่าวลือเหล่านี้และความสงสัยภายในกลุ่มคนวงในของมอสโกจะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงและสงสัยในตัวผู้นำ มีข้อสงสัยที่สำคัญว่าคนจำนวนหนึ่งอาจพยายามกำจัดประธานาธิบดีรัสเซียจริงๆ ในตอนนี้ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นต้องคอยดู”

ขณะที่อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองลับฝรั่งเศสจากแผนกความมั่นคงภายนอก (DGSE) ที่เคยมีประสบการณ์อยู่ในวงการลอบสังหารเผยกับ The Daily Beast ว่า “การลอบสังหารปูตินอยู่บนโต๊ะการวางแผนของทุกหน่วยข่าวกรอง ผมรู้เพราะผมเคยวางแผนมาแล้ว” โดยวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การวางยาพิษ

อดีตเจ้าหน้าที่รายนี้เชื่อว่า “ความพยายามลอบสังหารน่าจะมาจากภายในเครมลินเอง ไม่ใช่มาจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติ”

หากเป็นอย่างที่หน่วยข่าวกรองยูเครนว่าจริง นี่ไม่ใช่การพยายามลอบสังหารผู้นำของรัสเซียครั้งแรก ย้อนกลับไปในปี 1866 ดมิทรี คาราโคซอฟ นักเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติ พยายามสังหารพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแต่ล้มเหลว

The Daily Beast รายงานว่า ความพยายามลอบสังหารผู้นำรัสเซียอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 1952 ที่ Hotel Peking ในจัตุรัสมายาคอฟสกี ซึ่งเป็นโรงแรมที่จะใช้เป็นสถานที่จัดงานฉลองความสัมพันธ์ซิโน-โวเวียต

The Daily Beast ระบุว่า เหมาเจ๋อตงส่งเชฟคนโปรดมายังกรุงมอสโกเพื่อเปิดภัตตาคารอาหารจีนในโรงแรม Hotel Peking ทว่าเชฟคนนี้แท้จริงแล้วเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาเพื่อสังหาร โจเซฟ สตาลิน แต่ฝ่ายโซเวียตไหวตัวทันจึงส่งเจ้าหน้าที่ KGB เข้ามาปลิดชีพนักฆ่าคนนี้ด้วยการใช้มีดอีโต้ฟันที่ศีรษะ

อดีตเจ้าหน้าที่ DGSE บอกว่า น่าจะเหลือแต่สายลับรัสเซียเท่านั้นที่ยังใช้วิธีวางยาพิษสังหารผู้คน โดยยกตัวอย่างการใช้ยาพิษเพื่อกำจัดศัตรูของเครมลินหลายเคส อาทิ การวางยาพิษแทลเลียมในกาแฟของ นิโคไล คาโคลฟ KGB แปรพักตร์ เมื่อปี 1957 ไปจนถึงการพยายามสังหาร วิกเตอร์ ยูชเชนโก หนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน ด้วยการวางยาพิษไดออกซินในอาหารค่ำ

นอกจากนี้ยังมีการวางยาพิษฝ่ายตรงข้ามอีกหลายครั้ง เช่น การเสียชีวิตเมื่อปี 2006 ของอเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก จากโพโลเนียม-210 การใช้โนวิโช้คกับ เซอร์เก สกรีปาล อดีตสายลับรัสเซียในอังกฤษเมื่อปี 2018 และการลอบสังหาร อเล็กซี นาวัลนี ด้วยโนวิโช้คเช่นกันในปี 2020

อย่างไรก็ดี การลอบสังหารปูตินไม่ใชเรื่องง่าย แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพรัสเซียเผยว่า เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ปูตินสั่งเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในเครมลินยกชุดราว 1,000 คน ตั้งแต่พ่อครัว พนักงานซักล้าง เลขาฯ ไปจนถึงบอดีการ์ดที่มีหน้าที่ทำงานใกล้ชิดปูติน แล้วนำคนงานชุดใหม่เข้ามาแทน เพราะกลัวว่าคนเหล่านี้จะลอบวางยาพิษ

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ปูตินยังปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตนับตั้งแต่เปิดศึกกับยูเครน โดยตื่นนอนเวลา 12.00 น. ก่อนเริ่มอาหารมื้อแรกที่ต้องผ่านการตรวจหาสารพิษแล้ว จากนั้นจะจิบกาแฟและว่ายน้ำเป็นเวลา 2 ชั่วโมง

เมื่อกลับเข้ามาทำงานปูตินจะไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทุกชนิด เพราะไม่ไว้ใจในเรื่องความปลอดภัยทางออนไลน์ เอกสารทุกอย่างจะอยู่ในรูปของกระดาษอยู่ในแฟ้มสีแดง ยกเว้นโทรศัพท์ที่ใช้โครงข่ายคมนาคมสื่อสารในยุคอดีตสหภาพโซเวียต

อดีตเจ้าหน้าที่ DGSE บอกว่า “ปูตินรู้แน่นอนว่ามีคนต้องการเก็บเขา การฆ่าปูตินไม่ใช่งานง่าย แต่ปูตินรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ และนั่นทำให้เขากลัวแน่นอน”

อดีตเจ้าหน้าที่รายนี้เผยอีกว่า “ปูตินจะเดินทางไกลๆ ด้วยรถยนต์ ไม่มีรถหุ้มเกราะใดๆ ที่สามารถรอดจากระเบิดไม่กี่ตันที่ฝังไว้ใต้ถนน” และว่า การโจมตีใดๆ กับปูตินจะทำให้คนที่อยู่วงใน หรือเงาที่อยู่วงนอกระวังตัวมากขึ้น “มันจะเป็นงานที่แพงมาก ต้องใช้เงินมหาศาล จากประสบการณ์ของผม ผมพนันว่าเงินมีพร้อมแล้ว และพร้อมมาตลอด”

Sputnik/Ramil Sitdikov/Kremlin via REUTERS