ปูตินอาจแพ้ในสงครามข่าวสาร แต่เซเลนสกีอาจแพ้ในสมรภูมิจริง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารชี้ปูตินอาจแพ้ในสงครามข่าวสาร แต่เซเลนสกีอาจแพ้ในสมรภูมิจริง
บิลล์ รอจจิโอ (Bill Roggio) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจาก Foundation for Defense of Democracies และบรรณาธิการวารสาร Long war ระบุว่า ปูตินอาจพ่ายแพ้ในสงครามข่าวสาร แต่เซเลนสกีอาจพ่ายแพ้ในสมรภูมิสู้รบจริง และตะวันตกไม่ควรหลอกตัวเองว่ายูเครนจะชนะ
ในขณะที่สงครามยูเครนกำลังจะเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4 การสู้รบขยายวงไปยังเมืองต่างๆ และตามชนบท เช่นเดียวกับสงครามข้อมูลข่าวสารที่แพร่สะพัดไปตามอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย
รอจจิโอระบุว่า ในสมรภูมิจริง การสู้รบของรัสเซียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างช้าๆ ทว่าสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นการหยุดชะงักอาจเป็นผลมาจากการที่รัสเซียใช้เวลาในการจัดกองกำลังให้เข้าที่เข้าทางและปรับปรุงโลจิสติกส์เสียใหม่
ในสงครามข่าวสารของฝั่งตะวันตก พวกเราได้รับการบอกเล่าตั้งแต่วันแรกๆ ของความขัดแย้งว่ากองทัพรัสเซียจะต้องแตก เนื่องจากมีการบาดเจ็บล้มตายมากและการหนีทัพ การสูญเสียรถถัง ยานพาหระหุ้มเกราะ กระสุนปืนใหญ่ และเครื่องบิน รวมทั้งเสียงคัดค้านจากภายในประเทศ
รอจจิโอบอกว่า คลิปวิดีโอความเสียหาย ความพ่ายแพ้ของรัสเซียมีให้เห็นมากมายในสื่อต่างๆ แต่น่าแปลกใจที่รายงานการสูญเสียของฝั่งยูเครนมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้ ตลอด 3 สัปดาห์ที่สู้รบกัน วลาดิมีร์ ปูติน ยังคงเป็นประธานาธิบดี และกองกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียยังไม่พังทลาย แต่กำลังเคลื่อนอย่างช้าๆ แม้จะไม่สมบูรณ์และไม่เป็นระเบียบ
ด้านยูเครนชนะสงครามบนโซเชียลมีเดียและสื่ออย่างเบ็ดเสร็จ สิ่งนี้ทำให้ชาวตะวันตกทั่วไปปลาบปลื้มกับชัยชนะที่เอนเอียงไปทางฝั่งยูเครน
อีกทั้งเพนตากอนยังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสงครามในแต่ละวันแม้ว่าสหรัฐจะไม่ได้ทำสงครามนั้นเองก็ตาม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รอจจิโอบอกว่า การประเมินของเพนตากอนมักจะใกล้เคียงการการประเมินจากรัฐบาลยูเครน และว่านี่ไม่ใช่การประณามการใช้ข้อมูลข่าวสารและการบิดเบือนข่าวสารของตะวันตก
แทคติกเหล่านี้มีบทบาทในการบริหารจัดการความขัดแย้ง แต่วะวันตกไม่ควรหลอกตัวเองด้วยความเชื่อที่ว่ายูเครนจะรอดพ้นด้วยความคิดเพ้อฝัน
รัสเซียทำแคมเปญบิดเบือนข่าวสารอย่างงุ่มง่ามเพื่อแสดงให้เห็นว่าประชาชนของตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกันในสิ่งที่ปูตินเรียกว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร”
เมื่อวันศุกร์ (18 มี.ค.) รัสเซียจัดการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อแสดงให้เห็นว่าชาวรัสเซียยังหนุนหลังปูติน ขณะที่ชาวรัสเซียนับพันคนถูกจับกุมเพราะประท้วงการทำสงคราม
ปูตินยังเตือนบรรดาผู้ที่ไม่เห็นด้วยในรัสเซีย โดยเปรียบเทียบคนเหล่านั้นเป็นแมลงตัวเล็กๆ และส่งสัญญาณว่าจะมีการควบคุมเข้มงวดขึ้น รวมทั้งการผ่านกำหมายที่กำหนดให้การประท้วงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยผู้ประท้วงอาจถูกปรับหรือจำคุก
รอจจิโอระบุว่า ผู้นำที่ต้องการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันจะไม่ใช้แทคติกเหล่านี้
ในขณะที่แต่ละฝ่ายพยายามโปรโมทเกี่ยวกับความสำเร็จของตัวเอง สัญญาณหนึ่งที่เป็นไปได้ของสภาพที่แท้จริงของการป้องกันประเทศยูเครนคือ การเป็นสมาชิกนาโต ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ปูตินเปิดฉากทำสงคราม
หากไม่ได้เป็นสมาชิกนาโต เซเลนสกีต้องพึ่งพาตะวันตกในการจัดหาอาวุธ การคว่ำบาตร การห้ามค้าขาย และการสนับสนุนในรูปแบบอื่นๆ ยังต้องคอยดูกันต่อไปว่าความพยายามเหล่านี้จะเพียงพอสำหรับการหันหลังให้รัสเซียหรือไม่
ความจริงอย่างหนึ่งคือ ชาวยูเครนต่อต้านอย่างแข็งกร้าวในทุกหนทุกแห่งเพื่อปกป้องเมืองของตัวเองและทำให้รัสเซียต้องจ่ายค่าตอบแทนในทุกๆ ตารางนิ้วของแผ่นดิน
แต่การไม่ยึดกรุงเคียฟให้ได้อย่างรวดเร็วและการล่มสลายของรัฐบาลประธานาธิบดรเซเลนสกีทำให้การโจมตียูเครนของรัสเซียต้องใช้เวลานาน การทำสงครามตามรูปแบบกินเวลานาน ชัยชนะอย่างรวดเร็วเกิดได้ยาก
รอจจิโอระบุว่า เราต้องไม่ลืมว่าสหรัฐใช้เวลา 3 สัปดาห์มนการยึดกรุงแบกแดด และ 42 วันในการมีชัยในอิรักเมื่อปี 2003 แต่กองทัพรัสเซียมีประสิทธิภาพน้อยกว่ากองทัพสหรัฐ อีกทั้งชาวยูเครนยังมีความเป็นนักสู้และมีแรงกระตุ้นมากกว่ากองทัพของ ซัดดัม ฮุสเซน
รอจจิโอบอกว่า อย่างที่ผมได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้ การรุกรานของรัสเซียได้เริ่มดำเนินการในหลายด้านและมีเป้าหมายหลัก 4 แห่งคือ เมืองหลวงของกรุงเคียฟ, คาร์คิฟ เมืองใหญ่อันดับสองของยูเครนและทางเหนือ, ทางตะวันออก รวมถึงพื้นที่ทางตะวันตกของภูมิภาคดอนบัส และทางใต้ รวมถึงท่าเรือในทะเลดำและทะเลอาซอฟ
กองทัพรัสเซียใช้ทั้งการจัดทัพและสงครามปิดล้อมในความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายในการทำลายกองทัพและรัฐบาลของยูเครนและพิชิตพื้นที่เป็นกว้างของยูเครน
ที่ใดที่ชาวยูเครนต่อต้านอย่างแข็งกร้าว กองกำลังของรัสเซียก็เลี่ยงเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หลักอื่นๆ ในขณะเดียวกันรัสเซียก็พยายามที่จะล้อมเมืองและโจมตีด้วยการโจมตีทางอากาศและด้วยปืนใหญ่ดังเช่นทางตะเหนือของเมืองคาร์คิฟที่มหารรัสเซียทำลายกำแพงทางตอนเหนือของเมือง และขณะนี้กองทัพรัสเซียกำลังพยายามปิดล้อมเมืองคาร์คิฟไปพร้อมๆ กับการระดมยิงกระสุนปืนใหญ่เข้าใส่ ทั้งยังส่งทหารลงไปทางใต้มุ่งหน้าไปยังเมืองอิซุมซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐบอกว่าถูกยึดวานนี้
หากรัสเซียสามารถรุกคืบไปทางตอนใต้ของเมืองอิซุมก็จะสามารถปิดล้อมกองทัพยูเครนที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครนและตัดขาดทหารกลุ่มนี้จากการส่งเสบียง
รอจจิโอบอกว่า นี่เป็นกลยุทธ์ที่คลาสสิก เมื่อกองกำลังถูกล้อมก็จะขาดแคลนสิ่งของจำเป็นต่างๆ อาทิ อาหาร และอาวุธ เมื่อไม่มีอาสุธก็ไม่สามารถป้องกันตัวเอง
ส่วนทางใต้รัสเซียควบคุมพื้นที่ชายฝั่งที่สำคัญทั้งหมดแล้ว ยกเว้นโอเดสซาและมาริอูปอล โดยเมืองมาริอูปอลถูกปิดล้อมอย่างเบ็ดเสร็จและกำลังถูกทั้งกระสุนปืนใหญ่และความหิวโหยเล่นงาน
จากจุดนี้กองทัพรัสเซียกำลังรุกคืบไปทางเหนืออย่างช้าๆ ส่วนฝั่งตะวันตก เมืองโอเดสซากลายเป็นจุดที่ตียากสำหรับรัสเซียเนื่องจากยังหาช่องทางบุกเข้าเมืองไม่ได้
กองกำลังรัสเซียบางกลุ่มกำลังรุกคืบไปทางเหนือมุ่งหน้าเมืองครีวิริกโดยเป้าหมายน่าจะอยู่ที่เมืองดนีโปร หากรัสเซียไปถึงเมืองดนีโปร ฝั่งตะวันออกของยูเครนทั้งหมดเสี่ยงจะตกอยู่ในมือรัสเซีย
ส่วนในกรุงเคียฟและรอบๆ สถานการณ์ค่อนข้างทรงๆ สำหรับยูเครน แต่ทหารรัสเซียกระจายอยู่แถบชานเมือง และมีเฉพาะพื้นที่ทางใต้ของกรุงเคียฟเท่านั้นที่เปิด
รอจจิโอบอกว่า ยูเครนน่าจะให้ความสำคัญกับการป้องกันเมืองหลวงเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ดี วิธีนี้จะเป็นการดึงทรัพยากรจากแนวหน้าอื่นๆ ทางตะวันตกของเคียฟ กองกำลังรัสเซียยกระดับการโจมตี โดยยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพยูเครนหลายแห่ง รวมทั้งฐานทัพอากาศสำคัญใกล้กับชายแดนโปแลนด์
ในขณะที่แคมเปญด้านข้อมูลข่าวสารได้บดบังความเป็นจริงของสถานการณ์ภาคพื้นดิน แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือกองทัพรัสเซียไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อนาโต ทว่าสำหรับประเทศเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกนาโตอย่างมอลโดวา สถานการณ์ไม่ดีนัก (อ่านบทความเรื่อง 'มอลโดวา' ประเทศเล็กๆ ที่อาจเผชิญชะตากรรมเดียวกับยูเครน ที่นี่)
ไม่ว่ากองทัพรัสเซียจะประสบความสำเร็จในยูเครนอย่างไร ปฏิบัติการครั้งนี้ได้เผยให้เห็นข้อบกพร่องร้ายแรงเกี่ยวกับความสามารถในการทำสงครามกับศัตรูที่มีอาวุธเหนือชั้นและยุทธวิธีที่ซับซ้อน
กองทัพอากาศรัสเซียไม่สามารถหรือไม่ต้องการช่วงชิงความเหนือกว่าทางอากาศทั่วทั้งยูเครนจากฝ่ายตรงข้ามที่มีความสามารถน้อยกว่าทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกองทัพอากาศรัสเซียในการทำสงครามกับตะวันตก
สมรรถนะทางอากาศของนาโตเหนือกว่าของยูเครนมาก และมีอานุภาพร้ายแรงกว่าอาวุธ กองกำลังภาคพื้นดิน และการส่งกำลังสนับสนุนของรัสเซีย
โดยสรุปแล้ว ยูเครนกำลังซื้อเวลา ค่อยๆ สละเมืองอย่างช้าๆ และตัดทอนอาวุธและทหารราบของรัสเซียไปเรื่อยๆ ขณะที่กลยุทธ์ของรัสเซียก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน แนวหน้าที่รุกคืบจากหลายทิศทางกำลังบดขยี้กองกำลังยูเครน และการปิดล้อมเมืองต่างๆ ก็ต้องการเวลาในการปฏิบัติ ซึ่งต้องคอยดูกันต่อไปว่าเวลาจะอยู่ข้างรัสเวียหรือยูเครน ซึ่งเป็นไปได้ทั้งสองทาง
รอจจิโอทิ้งท้ายว่า สงครามเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมุ่งมั่น – ความมุ่งมั่นที่จะเสียสละทหาร พลเรือน วัสดุ และผืนแผ่นดิน เพื่อกำหนดเงื่อนไขสำหรับชัยชนะ และทั้งสองฝ่ายได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ต่อไป
Stephanie Lecocq/Pool via REUTERS/File Photo, Sputnik/Mikhail Klimentyev/Kremlin via REUTERS


